วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557

การคิดแบบคนทั่วไป



การคิดแบบคนทั่วไป

แรงบันดาลใจสู่อิสรภาพและร่ำรวยทางการเงิน รวย ร่ำรวย คนรวย เศรษฐี - คิดบวก คนชั้นกลางและคนรวย คิดแตกต่าง



"การหาไอเดียใหม่ๆ 
ไม่ยากเท่ากับการหนีออกจากความคิดเก่าๆ"
จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ นักเศรษฐศาสตร์



ความคิดเก่าๆ หมายถึง ความคิดที่คนทั่วไปยอมรับ เป็นความคิดที่สืบทอดต่อๆ กันมาหรืออยู่ในกรอบ  บางทีก็เรียกกันว่าความคิดแบบชาวบ้าน 

การจะทำอะไรที่สวนทางกับความคิดของคนทั่วไปไม่ใช่เรื่องง่าย  ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจที่ต่อต้านประเพณีของบริษัท  บาทหลวงที่นำดนตรีแนวใหม่มาใช้ในโบสถ์  หรือวัยรุ่นที่ไม่สนใจเทรนด์หรือกระแสที่กำลังนิยมกันอยู่ในปัจจุบัน

วิธีคิดแบบคนทั่วไป 
- ง่ายเกินเกินกว่าจะเข้าใจคุณค่าของความคิดดีๆ
- ไม่ยืดหยุ่นพอที่จะเข้าใจถึงผลกระทบของการคิดเพื่อการเปลี่ยนแปลง
- เฉื่อยชาเกินกว่าจะเข้าใจกระบวนการคิดที่มีเป้าหมาย
- แคบเกินกว่าที่จะเข้าใจความลึกซึ้งของการคิดแบบภาพรวม
- พอใจง่ายเกินกว่าจะเข้าถึงศักยภาพของการคิดแบบจดจ่อ
- ยึดมั่นในจารีตมากเกินกว่าจะค้นพบความสนุกของการคิดเชิงสร้างสรรค์
- อ่อนเดียงสาเกินกว่าจะเห็นคุณค่าและความสำคัญของการคิดตามความเป็นจริง
- ไม่มีวินัยพอที่จะเข้าถึงพลังการคิดเชิงกลยุทธ์
- อยู่ในกรอบมากเกินกว่าจะรู้สึกถึงพลังของการคิดแบบทุกอย่างเป็นไปได้
- ไหลตามกระแสมากเกินกว่าจะยอมรับคุณค่าของการคิดทบทวน
- ตื้นเขินเกินกว่าจะกังขาการยอมรับความพื้นๆ
- มีมิจฉาทิฐิมากเกินไป  จนไม่สนับสนุนการมีส่วนในการคิดแบบร่วมด้วยช่วยกัน
- หมกมุ่นอยู่กับตัวเองมากเกินไปที่จะรับประสบการณ์ความพึงพอใจจากการคิดแบบไม่เห็นแก่ตัว และ
- ไม่ยอมผูกมัดตัวเองที่จะชื่นชมกับผลตอบแทนจากการคิดเกี่ยวกับบรรทัดสุดท้าย



ถ้าอยากเป็นคนพิเศษ  
ก็จงเริ่มทำตัวให้คุ้นกับการที่จะไม่เป็นที่ยอมรับของชาวบ้าน




การคิดแบบคนทั่วไปบางครั้งก็เหมือนไมได้คิดอะไรเลย
การคิดหาไอเดียดีๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย  ถ้าง่ายทกคนก็คงเป็นนักคิดที่ดีกันไปแล้ว  โชคไม่ดีที่คนส่วนใหญ่พยายามจะใช้ชีวิตแบบง่ายๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก  การทำในสิ่งที่คนอื่นทำอยู่แล้วสบายกว่ากันเยอะ  ไม่ต้องลำบากที่จะต้องมานั่งคิดเองให้ปวดหัว คนที่ทำมาก่อนก็คงต้องคิดมาแล้วเป็นอย่างดี  ตลาดหลักทรัยพ์เป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่เราจะเห็นคนประเภทคิดแบบคนทั่วไปเยอะแยะมาก  เวลาที่นักวิเคราะห์บางคนให้คำแนะนำแบบฟันธง  ก็มักจะมีคนซื้อขายหุ้นตามคำแนะนำกันเป็นแถว  โดยไม่เคยคิดที่จะยอมลำบากวิเคราะห์ด้วยตัวเอง  คนที่ตั้งใจจะหาเงินจากหุ้นตัวที่เขาแนะนำนั้นก็ทำสำเร็จแล้ว  ทันทีที่คนเล่นหุ้นประเภทแมงเม่าได้ข่าว  เพราะแมงเม่าชอบตามกระแสเนื่องจากขี้เกียจที่จะคิดคำนวณด้วยตัวเอง


การคิดแบบคนทั่วไปจูงไปในทางที่ผิด
คนส่วนใหญ่จะยึดหลักปลอดภัยไว้ก่อน  คนอื่นว่าอย่างไรก็ว่าตามเขาไป  ถ้าคนส่วนใหญ่กำลังทำอะไรบางอย่าง  ก็แปลว่าการทำแบบนั้นต้องเหมาะสมแล้ว  ต้องเป็นความคิดที่ดี  ถ้าคนส่วนใหญ่ยอมรับการกระทำแบบนี้ก็แสดงว่าการกระทำแบบนี้น่าจะถูกต้อง  ยุติธรรม  จริงไหม  ไม่แน่เสมอไป  


การคิดแบบคนทั่วไปเฉื่อยชาต่อการเปลี่ยนแปลง
คนที่คิดแบบคนทั่วไปมักจะพอใจกับสภาพเดิมๆ เชื่อมันและไว้ใจในสภาพที่เป็นอยู่ในขณะนั้น  และจะยึดมั่นไปตลอดถ้ายังสบายอยู่  ผลที่ตามมาคือมีทัศนคติต่อต้านการเปลี่ยนแปลงและปฏิเสธสิ่งใหม่ๆ หรือวิธีใหม่ๆ


การคิดแบบคนทั่วไปให้ผลลัพธ์แบบธรรมดา
ผลลัพธ์ขั้นสุดท้าย  การคิดแบบคนทั่วไปจะให้ผลลัพธ์ระดับปานกลาง
คนทั่วไป = คนสามัญ = ธรรมดา = พื้นๆ = ไม่เด่น = ไม่น่าสนใจ
เวลาที่เราคิดแบบคนธรรมดาทั่วไปก็เหมือนกับเราตั้งเพดานความสำเร็จไว้ต่ำ  เราไปจำกัดขีดขั้นความสำเร็จคล้ายกับออกแรงเพียงเล็กน้อยพอให้ผ่านพ้นไปได้  เพราะฉะนั้น  ถ้าอยากทำการสิ่งใดให้สัมฤทธิผลระดับไม่ธรรมดา  คุณต้องเลิกคิดแบบคนทั่วไป


วิธีตั้งคำถามเกี่ยวกับความคิดแบบคนทั่วไป
มีการพิสูจน์กันอยู่บ่อยๆ ว่า  การคิดแบบคนทั่วไปนั้นผิดและเป็นการตีกรอบจำกัด  การตั้งแง่ที่จะกังขาไม่ใช่เรื่องยาก  ถ้าฝึกทำบ่อยๆ แต่จะยากอยู่ตรงตอนเริ่มต้นนี่แหละ  แต่เรามีวิธีไขให้โดยการทำตามคำแนะจำต่อไปนี้


คิดก่อนจะแห่ตามชาวบ้าน
คนจำนวนมากที่ทำตามคนอื่นโดยไม่รู้ตัว  บางครั้งทำไปเพราะอยากจะใช้เส้นทางที่มีการต่อต้านน้อยที่สุด  บางครั้งอาจเป็นเพราะกลัวถูกปฏิเสธ  หรือเชื่อว่าเป็นการฉลาดที่จะทำในสิ่งที่คนอื่นเขาทำกัน  แต่ถ้าอยากประสบความสำเร็จ  คุณจำเป็นต้องคิดหาสิ่งที่ดีที่สุด มิใช่คิดหาการยอมรับมากที่สุด  การจะท้าทายวิธีคิดแบบคนทั่วไป  ต้องยินดีกับการไม่เป็นที่ยอมรับแล้วเดินออกนอกกรอบและเกณฑ์ปกติ

เมื่อคุณเริ่มคิดจะสวนกระแสความคิดแบบชาวบ้าน  ขอให้เตือนตัวเองว่า
- การคิดต่างจากคนทั่วไปจะถูกประเมินค่าต่ำกว่าความเป็นจริง  จะไม่ได้รับการยอมรับ  และจะถูกเข้าใจผิด  แม้ว่าผลลัพธ์จากความคิดนั้นจะประสบความสำเร็จก็ตาม
- การคิดต่างจากคนทั่วไปมีเมล็ดพันธุ์ของโอกาสและวิสัยทัศน์
- การคิดต่างจากชาวบ้านเป็นที่ต้องการสำหรับความก้าวหน้าทั้งปวง
ครั้งต่อไปที่คุณรู้สึกพร้อมที่จะทำตามความคิดแบบชาวบ้านในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ขอให้หยุดและคิดก่อนที่จะลงมือทำ  ไม่ต้องถึงขั้นต่อต้านหรือทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง  แต่ต้องไม่ลอยไปตามกระแสแบบหน้ามืดตามัวเพียงเพราะคุณยังไม่ได้คิดว่าอะไรจะดีที่สุด


เห็นคุณค่าของความคิดที่แตกต่างจากความคิดของคุณเอง
วิธียอมรับการเปลี่ยนแปลงและสิ่งใหม่ๆ คือฝึกชื่นชมความคิดของคนอื่น  การจะทำเช่นนี้ได้คุณจะต้องเปิดใจตัวเองเข้าหาคนอื่นที่คิดแตกต่างอย่างต่อเนื่อง  ในเมื่อคุณตั้งใจจะท้าทายการคิดแบบชาวบ้าน  ก็ควรใช้เวลาอยู่กับผู้คนที่มีความแตกต่างหลากหลาย  ไม่ว่าจะเป็นภูมิหลัง  ระดับการศึกษา  ประสบการณ์ทางอาชีพการงาน  ความสนใจส่วนตัว ฯลฯ  คุณจะคิดคล้ายกับคนที่คุณใช้เวลาอยู่ด้วยมากที่สด  ถ้าคุณใช้เวลาอยู่กับคนที่คิดนอกกรอบ  คุณก็มีแนวโน้มที่จะท้าทายการคิดแบบชาวบ้านและบุกเบิกหาหนทางใหม่ๆ


ตั้งข้อสงสัยความคิดของตัวเองอย่างต่อเนื่อง
ทุกครั้งที่เราพบวิธีคิดที่ได้ผล  เราก็มักจะกลับไปใช้วิธีนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีกแม้ว่ามันจะใช้ไม่ได้ผลแล้วก็ตาม  บางครั้งศัตรูของความสำเร็จในวันข้างหน้าที่ร้ายกาจที่สุดคือความสำเร็จของวันนี้  ถ้าคุณเคยมีส่วนเกี่ยวข้องในการคิดริเริ่มหรือลงมือจัดทำ  ก่อตั้งหรือกำหนดสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันภายในองค์กรของคุณ  ก็มีโอกาสเป็นไปได้ที่คุณจะต่อต้านการเปลี่ยนแปลง  แม้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อสิ่งที่ดีขึ้นก็ตาม  นี่คือเหตุผลที่ทำไมจะต้องท้าทายความคิดของตัวเอง  ถ้าคุณยึดติดกับความคิดของตัวเองมากเกินไป  ก็คงไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น


ลองทำสิ่งใหม่ๆ ด้วยวิธีการใหม่ๆ
ครั้งสุดท้ายที่คุณทำอะไรเป็นครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นเมื่อไร  คุณหลีกเลี่ยงการเสี่ยงหรือว่าทดลองทำอะไรใหม่ๆ วิธีที่ดีที่สุดในการหลีกหนีการติดบ่วงความคิดของตัวเองคือการทำสิ่งใหม่ๆ อาจจะทำทีละเล็กละน้อยแต่ทำบ่อยๆ ก็ได้  การทำสิ่งใหม่ๆ ด้วยวิธีการใดไม่สำคัญเท่ากับการได้ลงมือทำจริงๆ (ถ้าคุณทำสิ่งใหม่ๆ แบบเดียวกับที่คนอื่นทุกคนทำอยู่  คุณจะบอกว่าตัวเองสวนกระแสความคิดชาวบ้านได้หรือ) ก้าวออกไปทำอะไรที่แตกต่างจากเดิมบ้าง


ทำตัวให้คุ้นกับความไม่สะดวก
การคิดแบบคนทั่วไปทำได้ง่าย  ทำแล้วสบายใจ  ถ้าคุณอยากปฏิเสธความคิดแบบคนทั่วไปเพื่อต้อนรับความสำเร็จ  คุณจะต้องทำตัวให้คุ้นเคยกับความไม่สะดวกสบายเสียก่อน  ถ้าคุณยอมรับการคิดที่แตกต่างจากความคิดแบบคนทั่วไป  และตัดสินใจโดยยึดหลักสิ่งที่ให้ผลดีที่สุด  หรือยึดหลักความถูกต้องเหมาะสมมากกว่าการเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป  คุณต้องรับรู้ในเรื่องนี้ก่อน ในช่วงแรกๆ  คุณจะไม่ผิดเหมือนที่คนอื่นคิดว่าคุณเป็น  ในช่วงหลังๆ คุณจะไม่ถูกเหมือนที่คนอื่นคิดว่าคุณเป็น  และตลอดเวลาตั้งแต่ช่วงแรกไปจนถึงช่วงหลังๆ คุณจะเก่งกว่าที่คุณคิดว่าคุณจะทำได้






อ้างอิงบทความจาก : หนังสือคิดใหใหญ่  คิดให้สำเร็จ โดย John C. Maxwell 


วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2557

คนชั้นกลางและคนรวย




คนชั้นกลางและคนรวย

แรงบันดาลใจสู่อิสรภาพและร่ำรวยทางการเงิน รวย ร่ำรวย คนรวย เศรษฐี - คิดบวก คนชั้นกลางและคนรวย


ความแตกต่าง 10 ข้อ ระหว่างคนรวยกับคนชั้นกลาง  เพื่อที่ว่าเราจะได้รู้และศึกษาพฤติกรรมว่าเราอยู่ในด้านไหนของสังคมและจะต้องทำอย่างไรเพื่อที่ว่าเราจะได้ย้ายจากการมีแนวโน้มที่จะเป็นคนชั้นกลางสู่การเป็นคนรวย

ข้อที่ 1 :เศรษฐีนั้นคิดยาวแต่คนชั้นกลางคิดสั้น 
ว่าที่จริงคนที่คิดสั้นที่สุดก็คือคนจน พวกเขามักจะคิดอะไรแบบวันต่อวันทำนองหาเช้ากินค่ำ คนชั้นกลางนั้นมักจะคิดเป็นเดือนต่อเดือน นั่นคือคิดถึงวันเงินเดือนออก แต่คนรวยจะต้องคิดยาวเป็นปีๆ หรือเป็นสิบๆ ปี ในใจของคนจนนั้น เขามักคิดแต่เฉพาะเรื่องของความอยู่รอดเป็นหลัก ในขณะที่คนชั้นกลางคิดถึงเรื่องความสุขสบายจากการจับจ่ายใช้สอยสินค้า ส่วนคนรวยนั้น เป้าหมายของพวกเขาชัดเจน เขาต้องการความเป็นอิสระทางการเงิน การคิดยาวนั้นมีพลังมหาศาล เพราะมันจะทำให้เขาอดออมและลงทุนระยะยาวซึ่งจะทำให้เงินงอกเงยแบบทบต้นเป็นเวลานาน และนี่คือสูตรสำคัญที่สุดในการที่จะทำให้คนมั่งคั่ง

ข้อที่ 2 : คนรวยพูดเกี่ยวกับเรื่องไอเดีย คนชั้นกลางพูดเกี่ยวกับสิ่งของ 
คนจนพูดถึงเรื่องของคนอื่น นี่คงไม่ได้หมายถึงว่าคนรวยไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องของสิ่งของหรือคนอื่น แต่หมายถึงว่าคนรวยจะพูดถึงเรื่องของคนอื่นน้อยกว่าคนจนและมักจะเป็นคนที่มีแนวความคิดดีๆ หรือมีมุมมองต่างๆ มากกว่าคนชั้นกลางและคนจน เบื้องหลังของนิสัยในเรื่องนี้คงอยู่ที่ว่า คนรวยนั้นมักจะมีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าคนจนซึ่งมักจะชอบ “ซุบซิบนินทา” เป็นนิจสิน ในขณะที่คนชั้นกลางอาจจะเน้นการทำงานประจำ ชอบพูดถึงเรื่องรถยนต์ ดนตรี การพักผ่อนหย่อนใจ เป็นต้น

ข้อที่ 3 : คนรวยยอมรับการเปลี่ยนแปลง คนชั้นกลางต่อต้านการเปลี่ยนแปลง 
คนชั้นกลางรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงจะคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ที่ตนเองเคยชิน ในขณะที่คนรวยนั้นคิดว่าการเปลี่ยนแปลงอาจนำมาซึ่งชีวิตที่ดีกว่า เขาคิดว่าในการเปลี่ยนแปลงนั้นมักมีโอกาสที่เขาอาจจะฉกฉวยได้ เบื้องหลังนิสัยนี้อาจจะมาจากการที่คนรวยมีความมั่นใจสูงกว่าคนชั้นกลางที่มักจะกลัวว่าตนเองจะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งใหม่ๆได้

ข้อที่ 4 : คนรวยกล้ารับความเสี่ยงที่ได้มีการพิจารณาและไตร่ตรองดีแล้ว คนชั้นกลางกลัวที่จะรับความเสี่ยง
นี่เป็นนิสัยที่เป็นจุดอ่อนมากที่สุดของคนชั้นกลางในความเห็นของผม คนที่ไม่ยอมรับความเสี่ยงเลยนั้นจะพลาดที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีโดยสิ้นเชิง ในขณะที่คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่างที่ได้มีการศึกษามาเป็นอย่างดีจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้โดยที่ความเสี่ยงจริงๆ นั้นจะมีน้อยมาก ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุด ก็คือ คนชั้นกลางส่วนใหญ่นั้นมักจะกลัวการลงทุนในหุ้นหรือตราสารการเงินที่มีความผันผวนของราคาโดยที่เขาไม่พยายามศึกษาว่าในระยะยาวแล้วมันอาจจะมีความคุ้มค่ากว่าการฝากเงินในธนาคารมาก ในอีกมุมหนึ่ง คนที่กล้ารับความเสี่ยงอย่าง “บ้าบิ่น” เช่นคนที่เล่นหุ้นวันต่อวันเองก็ไม่ใช่นิสัยของคนรวย คนรวยนั้นจะต้องรับความเสี่ยงเฉพาะที่มีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว

ข้อที่ 5 : คนรวยเรียนรู้และเติบโตตลอดชีวิต คนชั้นกลางคิดว่าการเรียนรู้จบที่โรงเรียน
นิสัยการเรียนรู้ไปเรื่อยๆ นี้ ผมคิดว่าเป็นหัวใจเศรษฐีจริงๆ เพราะในความรู้สึกของผมเอง การเรียนรู้จากโรงเรียนเป็นเพียงพื้นฐานที่เรานำมาศึกษาต่อด้วยตนเองได้ และเวลาหลังจากการเรียนในโรงเรียนนั้นยาวมากเป็นหลายสิบปี ดังนั้น ความรู้ส่วนใหญ่จึงควรที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่เราเรียนจบจากโรงเรียน

โดยนัยของข้อนี้ คนรวยจึงน่าจะมีนิสัยรักการอ่านหรือการหาความรู้ต่อไปเรื่อยๆ ในขณะที่คนชั้นกลางนั้น พอเรียนจบก็มักจะไม่สนใจอ่านหนังสือหรือหาความรู้ใหม่ๆ และความรู้ที่ผมคิดว่าคนชั้นกลางพลาดไปเพราะไม่มีการสอนในโรงเรียนก็คือ ความรู้ทางด้านการเงินที่คนรวยมักจะศึกษาต่อเพราะเห็นถึงความสำคัญและอาจนำไปสู่ความร่ำรวยได้

ข้อที่ 6 : คนรวยทำงานเพื่อหากำไร คนชั้นกลางทำงานเพื่อจะได้ค่าจ้าง
คนรวยมองว่านี่คือหนทางที่จะทำให้รวยได้มากกว่าแม้ว่าจะมีความเสี่ยง ในขณะที่คนชั้นกลางนั้นมักจะไม่กล้าเสี่ยงและอาจจะมีความคิดสร้างสรรค์น้อยกว่า จึงมุ่งไปที่การหางานที่จะมีรายได้แน่นอน แต่รายได้จากการใช้แรงงานของตนเองนั้น มีน้อยคนที่จะทำให้ตนเองรวยได้

ข้อที่ 7 : คนรวยเชื่อว่าพวกเขาจะต้องใจบุญสุนทาน คนชั้นกลางคิดว่าพวกเขาไม่มีปัญญาที่จะทำบุญ


ข้อที่ 8 : คนรวยมีแหล่งรายได้หลากหลาย คนชั้นกลางมีเพียงหนึ่งหรือสองแหล่ง
คนรวยมีรายได้จากหลายแหล่งเพราะรวยแล้วจึงไปลงทุนในทรัพย์สินหลายๆอย่าง หรือมีทรัพย์สินหลายอย่างจึงทำให้รวย แต่ที่ผมเห็นชัดเจนก็คือ คนชั้นกลางนั้น มักไม่ลงทุนในทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงทำให้รายได้มักจะมาจากเงินเดือนเป็นหลัก

ข้อที่ 9 : คนรวยเน้นการเพิ่มขึ้นของความมั่งคั่งของตนเอง คนชั้นกลางเน้นการเพิ่มของเงินเดือน
เป้าหมายของคนรวยนั้นอยู่ที่ว่าตนเองมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนโดยมองที่ภาพรวม ดังนั้น ถ้าเขามีหุ้นอยู่ การที่หุ้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเขาก็มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นโดยที่เขาไม่ต้องเสียภาษี แต่คนชั้นกลางพยายามทำงานเพื่อให้มีเงินเดือนสูงขึ้นแต่เขาอาจจะลืมไปว่าเขาจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นด้วย สรุปก็คือ คนรวยเน้นการลงทุนใช้เงินทำงานแทนตนเอง คนชั้นกลางเน้นการใช้แรงงานของตนเอง

ข้อที่ 10 - คนรวยชอบตั้งคำถามที่เป็นบวกและสร้างกำลังใจ
เช่น ฉันจะสร้างรายได้เป็นเท่าตัวในปีนี้ได้อย่างไร? ในขณะที่คนชั้นกลางชอบตั้งคำถามที่เป็นลบและเสียกำลังใจ เช่น จะหาเงินมาจ่ายหนี้ค่าบัตรเครดิตเดือนนี้ได้อย่างไร?



อ้างอิงบทความโดย : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวราการ  ที่มา : Forward Mail, Pantip.com





วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2557

บุคลิกคนรวย 6 แบบ


บุคลิกคนรวย 6 แบบ

คนรวยทั้ง 6 แบบที่ว่านี้มีรายละเอียดอุปนิสัย  ความเชื่อและวิธีคิดที่แตกต่างกันมาก  แต่ไม่ว่าจะต่างกันอย่างไร พวกเขายังคงมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันมากเช่นกัน  ลองทำความรู้จักบุคลิกเศรษฐีทั้ง 6 แบบ  แล้วค้นหาให้พบว่า "สิ่งสำคัญที่พวกเขาเหล่านั้นมีเหมือนกันนั้นคืออะไร"

บุคลิกคนรวย 6 แบบ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจสูู่อิสรภาพและร่ำรวยทางการเงิน รวมทั้งข้อคิดจากมหาเศรษฐี




**นิยามคำว่า "รวย" ในบทความนี้ คือ "มีสินทรัพย์สุทธิ 1 ดอลล่าร์ขึ้นไป  ไม่รวมบ้านที่อยู่อาศัย"


1) รวยด้วยวินัย

บุคลิกของคนกลุ่มนี้ไม่ต้องไปมองไกลที่ไหน  ให้มองคนรุ่นเก่าของเรานี่เอง เช่น พ่อแม่ ปู่ย่า  ตายาย  พวกท่านเป็นนักเก็บโดยนิสัย  มีวินัยขยันขันแข็ง  ประหยัดอดออม  และยอมอดเปรี้ยวไว้กินหวาน
ในบรรดาคนรวยเงินล้าน  พบคนที่มีบุคลิกเช่นนี้มากที่สุดถึง 24%

ลักษณะของคนรวยด้วยวินัย
อายุเฉลี่ย : 60 ปี
สร้างฐานะจากการทำงานหนัก  ประหยัดอดออม  ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย  ใช้จ่ายน้อยกว่าที่หาได้  ไม่ชอบอะไรเสี่ยง ๆ


2) รวยไม่รู้พอ
คุณจะพบคนกลุ่มนี้บ่อยๆ ในชีวิตของคุณ  บางทีฟังเขาคุยแล้วคุณอาจอิจฉา  แต่คุณก็อาจไม่อยากเป็นอย่างเขาหรอก  เพราะคนรวยกลุ่มนี้ไม่รู้จักคำว่าพอ  มีเท่าไหร่ก็ยังรู้สึกว่ามีน้อยเกินไป
ในบรรดาคนรวยเงินล้าน พบคนที่มี่บุคลิกเช่นนี้รองลงมา  18%

ลักษณะของคนรวยไม่รู้พอ
อายุเฉลี่ย : 55 ปี
สร้างฐานะจากการทำงาน  มีมรดกอยู่แล้วบ้าง  แต่อยากมีให้มากขึ้นไปอีกเรื่อยๆ นิยามคนรวยคือคนที่รวยกว่าตัวเองสามเท่า  มองฐานะตัวเองว่ายังดีไม่พอเสมอ  ใช้จ่ายน้อยกว่าที่หาได้  เรื่องเงินเรื่องทองเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดที่ต้องกังวลทุกวัน


3) รวยด้วยลำแข้ง
คนกลุุ่มนี้ทำงานหนัก  เก่ง  ลุย  กล้าเสี่ยง  เป็นพวกสร้างตัวเองด้วยหนึ่งสมองสองมือ
ในบรรดาคนรวยเงินล้าน  พบคนที่มีบุคลิกเช่นนี้ปานกลางราว 17%

ลักษณะของคนรวยด้วยลำแข้ง
อายุเฉลี่ย : 54 ปี
สร้างฐานะจากการทำงาน  อาจมีมรดกแถมมานิดหน่อย  เป็นเจ้าของธุรกิจ  สร้างตัวเองด้วยลำแข้ง  หนักเอาเบาสู้  กล้าได้กล้าเสีย  ชอบลงทุน  แต่ไม่มีเวลา มักใช้บริการที่ปรึกษาทางการเงิน  ชอบทำการกุศล  รู้จักให้  ใช้จ่่ายน้อยกว่าที่หาได้  หนึ่งในสามเท่านั้นที่มีเวลาคิดเรื่องแผนเกษียณอายุ


4) รวยเงียบๆ
คนกลุ่มนี้ทำงานหนัก  โชคดีมีเงินหล่นทับ  น่าจะมีความสุขที่รวยเร็ว  แต่กลับไม่ค่อยมีในบรรดาคนรวยเงินล้าน 
ในบรรดาคนรวยเงินล้าน พบคนที่มีบุคลิกเช่นนี้ 17%

ลักษณะของคนรวยเงียบๆ
อายุเฉลี่ย : 55 ปี
สร้างฐานะด้วยตัวเอง  ไต่เต้าสร้างความสำเร็จตามลำดับขั้น  โชคดีในการลงทนอย่างไม่คาดฝัน  แต่ไม่ใช้เงินก้อนนั้นอย่างฟุุ่มเฟือย  ลังเลที่จะเปิดเผยฐานะ  กลัวว่าเงินทองจะหมดไป  ใช้จ่ายน้อยกว่าที่หาได้  ไม่ค่อยได้บริจาคทำการกุศล


5) รวยไร้สุข
พวกนี้โชคดีมีบุญหล่นทับ  แต่โชคร้ายที่กลับไม่มีความสุขกับชีวิต
ในบรรดาคนรวยเงินล้าน พบคนที่มีบุคลิกเช่นนี้แค่ 13%

ลักษณะของคนรวยไร้สุข
อายุเฉลี่ย : 58 ปี
รวยเพราะมีมรดกตกทอด แต่ไม่ผลาญให้หมดไป   พยายามไม่ใช้มากกว่าที่มี  ขาดแรงบันดาลใจที่จะทำอะไรให้สำเร็จ  เฉื่อยชา อยู่ไปวันๆ  ไม่มีความสุขกับการให้  แต่ก็ไม่มีความสุขกับสิ่งอื่นด้วย  ไม่กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้เรื่องการเงิน


6) รวยอย่างแรง
คนกลุุ่มนี้คือกลุ่มคนรวยที่คุณรู้จักดี  อย่าง โดนัล ทรัมป์  เฮลู  ริชาร์ด เบรนสัน เป็นต้น  คุณต้องแรงพอกัน  ถึงจะคุยกับคนกลุ่มนี้สนุก
ในบรรดาคนรวยเงินล้าน พบคนที่มีบุคลิกเช่นนี้แค่ 11%

ลักษณะของคนรวยอย่างแรง
อายุเฉลี่ย : 49 ปี
เป้าหมายชัดเจน  วิธีการชัดแจ้ง  สร้างตัวเองอย่างบ้าบิ่น  แรง  กล้า  บ้า เสี่ยง  ไม่ฟังใครนอกจากตัวเอง  คลั่งความสำเร็จ  เชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก  การหาเงินคือความรื่นรมย์ของชีวิต  คิดเรื่องเงินทุกลมหายใจ  แต่ไม่ใช่จ่ายเกินกว่าที่มีอยู่  กล้าได้กล้าเสีย  แต่ในขณะเดียวกันก็กล้าให้  ส่วนใหญ่ยอมเครียดตายดีกว่ามีชีวิตอยู่แบบไร้ค่า


ไม่ว่าจะรวยด้วยวินัย  รวยเงียบๆ  รวยไม่รู้พอ  รวยด้วยลำแข้ง  รวยอย่างแรง  หรือรวยไร้สุข  คนรวยทั้ง 6 แบบ  ไม่มีใครเลยที่จะ "ใช้จ่ายเกินกว่าที่หาได้"  นี่อาจะคือเคล็ดลับสำคัญที่สุดของการมีเงิน




"การใช้จ่ายอย่างเหมาะสม" 
คือกุญแจดอกแรกของความรวย


วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557

หลักการใช้เงินง่ายๆ ของมหาเศรษฐี ลีกาซิง (มังกรแห่งฮ่องกง)



หลักการใช้เงินง่ายๆ
 ของมหาเศรษฐี ลีกาซิง (มังกรแห่งฮ่องกง)



ลี กา ชิง มีทรัพย์สินมูลค่า 16,000 ล้านเหรียญ จากธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมรายใหญ่ สถานีโทรทัศน์ ท่าเรือขนส่ง บริการอินเตอร์เน็ต อสังหาริมทรัพทย์ ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วเขาเป็นคนต่อสู้ชีวิตอย่างมากเพราะต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน มาเป็นหัวหน้าครอบครัวแทนพ่อที่เสียชีวิต บากบั่นมานะจนกลายเป็นคนที่รวยที่สุดของเกาะฮ่องกง จนได้ชื่อว่า ซุปเปอร์แมนหลี่ 

เรียนรู้การจัดการกับเงินทองของมหาเศรษฐีที่ชื่อว่า ลี กา ซิง

คุณต้องจัดการแบ่งเงินออกเป็น 5 ส่วน โดยแบ่งเป็น

เงินส่วนแรก : แบ่งเอาไว้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิตประจำวัน

เงินส่วนที่สอง : ใช้สำหรับสร้างสังคม  สร้างเพื่อน  สร้างเครือข่าย และขยายความสัมพันธ์ระหว่างสังคมในแวดวงธุรกิจต่างๆ ที่คุณสนใจ  สิ่งนี้จะทำให้คุณมีความเจริญเติบโตและมั่งคั่งทางธุรกิจ โดยอาจจะแบ่งเงินไว้ เช่น ค่าโทรศัพท์  ค่าอาหาร  ลี กา ซิง สอนไว้ว่า คุณจงกินข้าวหรือสร้างสัมพันธ์กับผู้ที่มีความรู้มากกว่าคุณ  และรวยกว่าคุณ  หรือคนที่จะคอยช่วยสนับสนุนคุณในด้านต่างๆ ได้  ควรทำแบบนี้ทุกๆ เดือน อย่างน้อยๆ เดือนละครั้ง  หลังจากสร้างสัมพันธ์เหล่านี้ภายในไม่กี่ปี  เพื่อนๆ ที่คุณสร้างมาจะสร้างคุณค่าอย่างมหาศาลให้กับคุณ

เงินส่วนที่สาม : คุณควรจะแบ่งเงินส่วนนี้ไว้เพื่อการเรียนรู้สิ่งต่างๆ เช่น การซื้อหนังสือ  การเข้าอบรม  สัมมนา  หาความรู้และประสบการณ์ใหม่ๆ   คุณควรเอาใจใส่กับการจ่ายเงินไปกับการเรียนรู้เหล่านี้  เมื่อคุณซื้อหนังสือมาแล้วก็จงอ่านมันและศึกษาทำความเข้าใจให้ถ่องแท้  เรียนรู้บทเรียนหรือกลยุทธ์ต่างๆ ที่สอนไว้ในหนังสือ  เมื่อศึกษาจนเข้าใจแล้วก็แบ่งปันให้คนอื่นได้รู้ด้วย  เพราะมันจะทำให้คุณได้รับความน่าเชื่อถือและเป็นคนที่น่าสนใจ

เงินส่วนที่สี่ : แบ่งเงินส่วนนี้ไว้ใช้สำหรับการเดินทางพักผ่อนไปในที่ต่างๆ ที่คุณอยากไปไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือต่างประเทศ  ควรให้รางวัลแก่ตนเองบ้าง  โดยการเดินทางไปเที่ยวที่ต่างๆ อย่างน้อยปีละครั้ง  เพื่อหาประสบการณ์ใหม่ และเพื่อสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ๆ ที่ต้องนำมาใช้ในธุรกิจของคุณ  ประสบการณ์เหล่านี้เป็นการเพิ่มพลังใหม่ๆ ให้กับตัวคุณให้มีแรงขับดันในการทำงานต่อไป

เงินส่วนที่ห้า : นำเงินส่วนนี้ไปลงทุนในสิ่งที่คุณศึกษามา  จำไว้การลงทุนคือความเสี่ยง  แต่สิ่งที่เสี่ยงที่สุดคือ การไม่ยอมเสี่ยงกับการลงทุน   การลงทุนมีความเสี่ยง  ควรศึกษาก่อนทุกครั้ง  ศึกษาให้เข้าใจแล้วก็ลงมือทำ  อาจจะเริ่มต้นทำธุรกิจเล็กๆ  เมื่อคุณเริ่มหาเงินได้ มันจะช่วยเพิ่มความมั่นใจกับความกล้าให้แก่คุณ   ได้ทั้งประสบการณ์ใหม่ของการเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ


เจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมักจะเริ่มจากการเป็นนักขายที่ดี พวกเขามีความสามารถในการขายความฝันและวิสัยทัศน์ คุณจะพบผู้คนมากมายที่มีคุณค่าต่ออาชีพของคุณในภายหลัง เมื่อเริ่มขายคุณจะได้เรียนรู้ว่าอะไรขายได้และอะไรขายไม่ได้ ใช้ไหวพริบในการตรวจสอบตลาดเป็นวิธีในการดำเนินธุรกิจของคุณและหาผลิตภัณฑ์ที่จะเป็นผู้ชนะในอนาคต นักธุรกิจทุกคนต้องการความช่วยเหลือ ให้คุณเสนอตัวเองต่อพวกเขาในการทำงานนอกเวลาในโอกาสต่างๆ สิ่งเหล่านี้จะช่วยพัฒนาความสามารถของคุณ และคุณจะได้พัฒนาทักษะในการเจรจาของคุณและในไม่ช้าคุณจะใกล้เป้าหมายทางการเงิน  ทำตัวเองให้เป็นประโยชน์อยู่เสมอ จงใช้เงินลงทุนเพิ่มขึ้นไปกับการสร้างเครือข่าย เมื่อคุณรู้จักผู้คนมากขึ้นเครือข่ายของคุณขยายมากขึ้นคุณจะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น จงใช้เงินลงทุนเพิ่มขึ้นไปกับการเรียนรู้เพื่อสร้างความมั่นใจให้ตัวเองมากขึ้น จงใช้เงินเพิ่มขึ้นไปกับการท่องเที่ยวในวันหยุดในที่ใหม่ที่ยังไม่เคยไป จงเพิ่มการลงทุนไปกับอนาคตคุณซึ่งมันจะสร้างรายได้ให้คุณอย่างมหาศาล

ชีวิตและเส้นทางชีวิตสามารถออกแบบได้  ซึ่งมันจะนำคุณไปสู่ความสุขที่แท้จริง คุณควรเริ่มวางแผนชีวิตของคุณตั้งแต่ตอนนี้ เมื่อคุณจนให้ใช้เวลาอยู่ที่บ้านให้น้อยกว่าการใช้เวลาอยู่ข้างนอก เมื่อคุณรวยอยู่ที่บ้านมากขึ้นอยู่ข้างนอกให้น้อยลง นี่คือศิลปะการใช้ชีวิต เมื่อคุณจนให้ใช้จ่ายเงินไปกับผู้อื่น แต่เมื่อคุณรวยใช้เงินไปกับตัวคุณเอง คนส่วนใหญ่ทำตรงกันข้ามกัน

เมื่อคุณจน จงทำดีกับผู้อื่น  อย่ามัวแต่คิดถึงเรื่องผลประโยชน์ เมื่อคุณรวยคุณต้องเรียนรู้ที่จะทำให้ผู้อื่นดีต่อคุณ คุณต้องเรียนรู้ที่จะทำตัวเองให้ดีกว่าเป็นคนที่ดีกว่าที่เป็น เมื่อคุณจนคุณต้องผลักดันตัวเองออกมาในที่คนอื่นสามารถจะมองเห็นคุณได้เพื่อให้คนอื่นใช้งานและทักษะที่คุณมี เมื่อคุณรวยคุณต้องรู้จักปกป้องตัวเองอย่าปล่อยให้ใครมาหลอกใช้คุณได้ง่ายๆ เป็นความซับซ้อนในเส้นทางของชีวิตที่หลายคนยังไม่เข้าใจ

เมื่อคุณจนให้คุณใช้เงินเพื่อทำให้ผู้อื่นรู้จักคุณ แต่เมื่อคุณรวยจงอย่าโอ้อวดว่าคุณรวย ใช้จ่ายเงินของคุณในการซื้อของอย่างเงียบๆ เมื่อคุณจนคุณต้องเป็นคนมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และเมื่อคุณรวยคุณต้องไม่ถูกมองว่าเป็นคนฟุ่มเฟือย ชีวิตของคุณจะวนกลับมาสู่สามัญคุณควรจะอยู่อย่างเรียบง่ายเมื่อคุณมาถึงจุดนี้

ไม่มีสิ่งใดผิดเมื่อคุณยังหนุ่มสาว คุณไม่ต้องกลัวว่าคุณจน คุณต้องรู้วิธีลงทุนในตัวคุณเองที่จะเพิ่มปัญญาและระดับความสำเร็จ คุณต้องรู้ว่าอะไรจำเป็นและไม่สำเป็นต่อชีวิต คุณต้องรู้ว่าอะไรควรหลีกเลี่ยงและไม่จ่ายเงินฟุ่มเฟือยไปกับมัน นี่คือวินัยที่จำเป็นอย่างยิ่ง พยายามหลีกเลี่ยงในการใช้จ่ายเงินไปกับการซื้อเสื้อหลายๆ ชุดแต่รู้จักเลือกซื้อเสื้อผ้าที่ดูดีเพียงไม่กี่ชุด พยายามกินข้าวนอกบ้านให้น้อยที่สุด ถ้าคุณกินข้างนอกบ้านคุณต้องแน่ใจว่าคุณซื้อมื้อกลางวันหรือมื้อเย็นที่คุณจ่าย คุณจ่ายเพื่อกินกับผู้คนที่มีความฝันใหญ่กว่า ทำงานหนักกว่าคุณ

เมื่อการทำมาหากินของคุณไม่เป็นเรื่องที่ต้องกังวลอีกต่อไป ใช้เงินที่เหลือไล่ตามความฝันของคุณ สยายปีกของคุณและกล้าที่จะฝันทำให้คุณแน่ใจว่าชีวิตของคุณเป็นสิ่งวิเศษ

ทฤษฎีที่มีชื่อเสียงจากฮาร์วาร์ด ความแตกต่างของโชคชะตาของแต่ละคนถูกตัดสินจากสิ่งที่เค้าจ่ายในเวลาว่างระหว่าง 20.00 น. ถึง 22.00 น. ใช้เวลา 2 ชั่วโมงนี้ในการเรียนรู้ คิด และเข้าร่วมในการเข้าร่วมการบรรยายหรือการสัมมนาที่มีความหมาย ถ้าคุณทำแบบนี้สักปีสองปี ความสำเร็จจะเข้ามาหาคุณ

ไม่สำคัญว่าคุณหาเงินได้เท่าไร จำไว้ว่าแบ่งเงินเป็นห้าส่วน ดูแลตัวเองรักษารูปร่างให้ดีอยู่เสมอ ลงทุนในการเข้าสังคมพบผู้คนใหม่อย่างต่อเนื่องและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้จากคนเหล่านี้ การขยายเครือข่ายทางสังคมจะทำให้รายได้คุณเพิ่มขึ้น เดินทางทุกปีในที่แตกต่างกันออกไป และคอยติดตามการพัฒนาการล่าสุดของโลกอุตสาหกรรมด้วย ถ้าคุณทำตามแผนนี้อย่างขยันขันแข็ง คุณจะมีเงินทุนเหลือมากมาย

อะไรที่ผ่านไปแล้วในอดีตก็ปล่อยให้มันผ่านไป อย่ามัวจมอยู่กับความผิดพลาด ไม่จำเป็นที่จะมัวมานั่งเสียใจกับสิ่งที่สูญเสียไปแล้ว ทุกคนเคยทำผิดพลาด และคุณจะได้เรียนรู้จากมัน และสัญญากับตัวเองว่าจะไม่พลาดซ้ำอีก เมื่อคุณพลาดโอกาสอย่ามัวเศร้าเสียใจ มีโอกาสใหม่รออยู่ข้างหน้าเสมอ

คุณสามารถที่จะยิ้มรับเมื่อถูกเข้าใจผิดเล็กๆ น้อยๆ เมื่อคุณทำผิดและคุณยิ้มรับอย่างสงบนั้นคือความใจกว้าง เมื่อคุณถูกเอาเปรียบแต่คุณยังยิ้มได้คุณคือคนใจกว้าง เมื่อคุณทำอะไรไม่ถูกให้คุณค่อยๆ ยิ้มอย่างใจเย็นมันจะทำให้คุณอยู่ในสภาวะที่สงบนิ่ง เมื่อคุณเจ็บปวดคุณสามารถที่จะหัวเราะออกมาดังๆ ได้คุณคือคนใช้กว้าง เมื่อคุณถูกดูหมิ่นเหยียดหยามและคุณยิ้มได้อย่างสงบคุณคือคนที่มีความมั่นใจ เมื่อคุณถูกปฏิเสธในความสัมพันธ์และคุณสามารถยิ้มได้คุณคือคนอ่อนโยน




อ้างอิงจาก : pantip.com