วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2557

ความร่ำรวยทั้ง 12 ประการ



ความร่ำรวยทั้ง 12 ประการที่ต้องมี

ความร่ำรวยทั้ง 12 ประการ


12 ความร่ำรวยที่คุณสามารถสร้างขึ้นมาได้ด้วยตนเอง  โดยไม่ต้องลงทุนซื้อหาด้วยตัวเงิน  เพียงแค่คุณลงทุนด้วยหัวใจของคุุณเองเท่านั้น  คุณก็สามารถเป็นเจ้าของความร่ำรวยนี้ได้  12 ความ

ร่ำรวยที่พาคุณก้าวไปสู่ความร่ำรวยทางตัวเงินและชีวิตที่ประสบความสำเร็จในทุกสิ่งที่มุ่งหวัง

1. ร่ำรวยสุขภาพที่ดี
สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญไม่ควรละเลย  เมื่อร่างกายไม่แข็งแรงเจ็บป่วยอยู่เป็นประจำ  ย่อมทำให้การใช้ชีวิตและการทำงานเป็นไปอย่างไม่เต็มที่  ใส่ใจสุขภาพร่างกายให้มาก  อย่าปล่อยให้เจ็บป่วยบ่อยนัก  สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงเป็นความร่ำรวยของชีวิตที่สำคัญมาก คุณสามารถสร้างมันขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย  เพียงแค่คุณเริ่มต้นด้วย   ทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย  ทานอาหารให้ครบสามมื้อและในแต่ละมื้อประกอบด้วยอาหารทั้ง 5 หมู่  งดอาหารที่ให้โทษ  ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย  เช่น  เหล้า  เบี้ย  น้ำอัดลม  ขนม  อาหารขยะ รวมถึงสิ่งเสพติดอื่นๆ ด้วย  ออกกำลังกายสัปดาห์ละ 3-4 วัน  วันละครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อย  เลือกกิจกรรมการออกกำลังกายที่หลากหลาย  เช่น  เดินเร็ว  วิ่งจ๊อกกิ้ง  ปั่น  จักรยาน  กระโดดเชือก  ว่ายน้ำ  เล่นฟุตบอล  แอโรบิกแดนซ์  เป็นต้น  นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอวันละ 6-8 ชั่วโมง  ไม่นอนดึกจนเกินไปตื่นขึ้นมาร่างกายจะได้สดชื่นแจ่มใส  คิดบวก ยิ้มให้มาก
หัวเราะให้บ่อย ช่วยป้องกันอาการป่วยของจิตใจ  จิตใจป่วยจะส่งผลให้ร่างกายป่วยไปด้วย


"ร่ำรวยเงินทองแค่ไหน  ไม่อาจสู้ได้กับความร่ำรวยของสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง"



2. ร่ำรวยความคิดเชิงบวก
ความคิดเชิงบวก  คือ  ความร่ำรวยของความคิด  เพราะชื่อบอกอยู่แล้วว่า "บวก"  ย่อมหมายถึงการบวกสิ่งดีๆ เข้ามาสู่ชีวิต  ต่างจากความคิดเชิงลบ  ที่ลบเอาสิ่งดีๆ ออกไป ก่อนจะร่ำรวยด้วยทรัพย์สินเงินทอง  ให้คุณร่ำรวยความคิดดีๆ เสียก่อน  เมื่อคิดดี  สิ่งดีเกิด  จิตใจแจ่มใส  โลกสว่าง  จะเห็นหนทางตรงหน้าได้ชัดเจน  ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและก้าวสู่ความสำเร็จที่หวังได้อย่างแน่นอน  ความสำเร็จเริ่มต้นจากตัวของคุณ  เริ่มจากจิตใจข้างใน  เริ่มจากความที่ดี

"ปัญหาหรืออุปกรรคใดเกิดขึ้นบนเส้นทางที่คุณกำลังเดินอยู่นั้น 
คุณจะสามารถฝ่าฟันมันไปได้ด้วย 'การคิดแบบบวก' "



3. ร่ำรวยความหวัง
จงให้ใจของคุณร่ำรวยไปด้วยความหวัง  ความหวังคือพลังยิ่งใหญ่ที่ทำให้คนหนึ่งคนเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง  ในวันที่ไฟแห่งความหวังของเขาลุกโชติช่วง  ความหวังเป็นดังไฟส่องทางและชี้ไปยังจุด
หมายปลายทางที่เรียกว่าความสำเร็จของชีวิต  คนที่ยากจนความหวังคือคนที่ไม่สามารถเปิดตาแล้วมองไปข้างหน้าได้  คนที่ยากจนความหวังคือคนที่หลับตาแล้วจมอยู่กับความมืดมิดอันหดหู่  จะหาความสุขและความสำเร็จในชีวิตอันใดไม่ได้เลย  ความหวังคือสิ่งที่ทำให้จิตใจของมนุุษย์เตรียมพร้อมอยู่เสมอและความหวังคือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนควรมี  แม้ในวันที่ท้อแท้สิ้นหวัง  หากรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังจงปลูกความหวังต้นใหม่ขึ้นมาทดแทนเสียความท้อแท้สิ้นหวังไม่ได้ทำให้คุณเติบโตขึ้นมาได้  ความหวังต่างหากที่ทำให้คุณก้าวสู่ความสำเร็จได้

"คุณร่ำรวยความหวังมากเท่าไร  
รู้เอาไว้เถอะว่าคุณสามารถร่ำรวยความสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น  
เพราะทุุกความสำเร็จมีจุุดเริ่มต้นที่ 'ความหวัง' "



4. ร่ำรวยความรัก
"ในจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์  
ได้ซ่อนความร่ำรวยอย่างหนึ่งเอาไว้ นั่นคือ..ความร่ำรวยทางความรัก"


ความรักคือชีวิต  คือ จิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ทุุกคนล้วนแล้วแต่มีความรักเป็นเครื่องนำทางสูู่สิ่งที่ตนเองต้องการ  หากขาดความรักแล้ว  สิ่งใดที่เกิดขึ้นก็อาจไร้ค่าไร้ความหมาย  เพราะในจิตใจของเขาไม่ได้ต้องการสิ่งนั้น  ไม่ได้มีความรักในสิ่งนั้นเลย  เมื่อไม่รัก  จึงไม่จำเป็นต้องอยากได้หรืออยากครอบครอง  จงใช้ความร่ำรวยของความรักนี้  นำพาตัวของตนเองให้ก้าวไปสู่สิ่งที่อยากเป็น  ก้าวไปสู่ความสำเร็จที่อยากได้  พลักความรักจะชนะทุกสิ่งทุกอย่าง  ไม่มีอะไรยากเกินกว่าความรักจะเอามาได้
รักตัวเอง
รักพ่อแม่
รักพี่น้อง
รักครอบครัว
รักในสิ่งที่ทำ
รักในสิ่งที่มี
รักที่จะทำให้ดี
รักที่จะเป็นคนดีของสังคม
รักที่จะมีความฝัน
รักที่จะทำให้ความฝันเป็นจริง

"รักที่จะทำทุุกอย่างด้วยความรัก 
แล้วทุกอย่างที่ทำด้วยความรักจะประสบความสำเร็จเสมออย่างแน่นอน"



5. ร่ำรวยมิตรไมตรี
ความร่ำรวยทางมนุษยสัมพันธ์ทำให้คุณกลายเป็นที่ชื่นชมและชื่นชอบของคนที่พบเห็น  ใบหน้าที่มีรอยยิ้ม  เสียงหัวเราะที่ดังมาจากใจ  คำพูดที่น่าฟัง  ความสุุภาพที่อ่อนน้อม  มิตรไมตรีที่พร้อมจะให้กับทุกคน  ล้วนแล้วแต่เป็นความร่ำรวยที่คุณสร้างให้กับชีวิตของคุณได้

"หากคุณคิดว่าตนเองเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์แย่  
หรืออยากปรับปรุงให้มันดีขึ้น  คุุณเริ่มต้นได้ไม่ยากเลย  
เพียงแค่ 'คิดดี  พูดดี  ทำดี' 
สิ่งเหล่านี้ทำให้คุณกลายเป็นที่ชื่นชมของทุกคนได้ในเวลาอันรวดเร็ว"

คิดดี  คือ  คิดถึงตนเองให้น้อยลง  คิดถึงใจคนอื่นให้มากขึ้นพยายามเข้าใจเขา  โดยไม่ต้องบังคับให้เขาเข้าใจคุณ  เอาใจเขามาใส่ใจคุณ  หลีกเลี่ยงการเอาใจคุณไปยัดใส่ใจเขา  มองเขาในแง่ดีมองหาแต่สิ่งดีๆ จากตัวเขา  แล้วความจริงใจก็ช่วยคุณได้มากเหมือนกัน

พูดดี  คือ  คนเราพูดเป็น  แต่บางครั้งก็หลงลืมจะพูดดีๆ ต่อกันบ่อยมากที่คำพูดบางคำทำร้ายจิตใจคนฟังไปโดยไม่รู้ตัว  เริ่มต้นใหม่อีกครั้งในการพูด  พูดให้เพราะขึ้น  สุภาพขึ้น  พูดแต่สิ่งดีๆ ต่อกันลดคำหยาบ  พูดโดยใช้สติ หยุดการพูดด้วยอารมณ์ขุ่นมัว  พูดด้วยรอยยิ้ม  พูดด้วยความรู้สึกของความเป็นมิตร  แล้วคำพูดของคุณจะน่าฟังและไม่ทำร้ายใจอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว

ทำดี  คือ  ทำสิ่งดีๆ ให้กับคนรอบข้าง  ให้ความช่วยเหลือในยามที่เขาต้องการ  คอยให้คำปรึกษาในยามที่เขามีปัญหา  อ่อนน้อมถ่อมตน  ยิ้มและหัวเราะง่าย  ทำตัวให้มีความสุข  คนอยู่ใกล้จะได้มีความสุขไปด้วย  ไม่ทำตัวเป็นคนอมทุกข์เพราะคนส่วนมากไม่ชอบคนที่จมอยู่กับความทุกข์  อยู่ด้วยแล้วไม่มีความสุขใจใดเลย  ทุกคนชอบอยู่ใกล้และพูดคุยกับคนที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน  รื่นเริงเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม



6. ร่ำรวยความกล้า  ปราศจากความกลัว
คนที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่คนที่เต็มไปด้วยความกลัว  พวกเขาปราศจากซึ่งความกลัวที่บั่นทอนจิตใจ  พวกเขามีความกล้าในทุุกสิ่งทุกอย่างที่คิดมาแล้วอย่างรอบคอบ  พวกเขากล้าคิด  กล้าฝัน  กล้าทำ  และกล้าที่จะประสบความสำเร็จในสิ่งที่คิดและฝันเอาไว้

ความกลัวไม่ได้ทำให้คนประสบความสำเร็จได้ นอกเสียจาก 'ความกลัวชนิดบวก' คือ
กลัวจนจึงต้องรวย
กลัวทุกข์จึงต้องสุข
กลัวล้มเหลวจึงต้องสู้
กลัวผิดพลาดจึงต้องรอบคอบ
กลับทำไม่ได้จึงต้องตั้งใจทำให้ได้
กลับปัญหาจึงต้องหาทางจัดการกับปัญหา


"นี่แหละคือความกลัวชนิดบวก  
เมื่อกลัวจึงต้องกล้าที่จะทลายกำแพงแห่งความกลัวนั้นออกมาให้ได้"



7. ร่ำรวยความสุข
ขอให้คุุณแบ่งปันความรัก  ความสุข  รอยยิ้ม  เสียงหัวเราะ  ความชื่นชมยินดี  ความช่วยเหลือเกื้อกููล  ต่อคนที่อยู่รอบข้าง  เพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นได้รับสิ่งดีๆ จากคุณ  เหมือนเช่นที่คุณได้รับจากคนอื่นๆ

"สิ่งใดที่คุณหยิบยื่นให้แก่ใครคนหนึ่ง  
สิ่งนั้นจะกลับสู่คุณอีกหลายเท่าทวีคูณ  
แล้วคุณจะกลายเป็นคนที่ร่ำรวยความสุขจากการให้อย่างแท้จริง"



8. ร่ำรวยความอดทน
ความอดทนเป็นอีกหนึ่งความร่ำรวยที่คุณสร้างขึ้นมาได้ด้วยตนเอง  ฝึกฝนตนให้เป็นคนที่มีความอดทน  เพราะความอดทนคือเครื่องยนต์  พาคุณมุ่งไปสู่ความสำเร็จอย่างที่หวังเอาไว้  จำเอาไว้ว่า 

"ไม่มีความสำเร็จใดที่ได้มาโดยปราศจากความอดทน"

อดทนต่อปัญหา
อดทนต่ออุปสรรค
อดทนต่อความผิดพลาด
อดทนต่อความล้มเหลว
อดทนกับความท้อแท้
อดทนต่อความสิ้นหวัง
อดทนต่อความยากลำบากทั้งหลาย

"เมื่อคุณร่ำรวยความอดทน 
 เมื่อนั้นจะไม่มีสิ่งใดๆ มาขัดขวางความสำเร็จในวันพรุ่งนี้ของคุณได้"



9. ร่ำรวยศรัทธาและความมั่นใจ
จงร่ำรวยแรงศรัทธาและความเชื่อมั่นในตัวของคุณเอง  จงศรัทธาและเชื่อว่าคุุณสามารถทำทุกความฝันและทุกความหวังให้เป็นจริงขึ้นมาได้  ไม่มีอะไรยากเกินกว่าที่หนึ่งสมองและสองมือของคุณจะทำได้  ดวงจันทร์อยู่ไกลถึงนอกโลก  อยู่ไกลถึงขนาดนั้น  คนยังเดินทางไปเหยียบมาแล้ว  จะหวั่นอะไรกับความสำเร็จที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมมันอยู่ใกล้กว่าดวงจันทร์ตั้งเยอะ  ไม่ยากเกินไปหรอกที่คุณจะเดินทางไปถึงมัน  ขอแค่ให้คุณศรัทธาและเชื่อมั่นในตนเอง  หนทางแห่งความสำเร็จไม่ได้ยากเย็นเข็ญใจขนาดนั้นหรอกนะ

"คนที่ล้มเหลวในชีวิต  แล้วไม่สามารถลุกขึ้นมายืนได้อีกครั้ง  
นั่นเพราะพวกเขาขาดความศรัทธาที่มีต่อตนเอง  
ขาดความมั่นใจว่าเขาทำได้  พวกเขาจึงล้มแล้วลุกไม่เป็น"

พลังศรัทธายิ่งใหญ่นัก  ผู้คนที่ประสบความสำเร็จทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ศรัทธาในตนเองไม่ดูถูกความสามารถของตนที่มี  นั่นทำให้เขาก้าวผ่านความยากลำบากมาสู่ความสำเร็จได้ในวันนี้



10. ร่ำรวยความมีวินัย
ความร่ำรวยอีกหนึ่งอย่างของชีวิตที่ต้องมีคือ 'วินัย' สำหรับมนุษย์เราแล้วนั้น  หากไม่สามารถเป็นคนที่มีวินัยในตนเองได้  ยากที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้  เนื่องจาก 'วินัย' คือ สิ่งที่ทำให้คุุณเป็นนายของตนเองได้  เมื่อไม่มีวินัยในตนเอง  คุณก็ไม่สามารถเป็นนายของตัวเอง  แม้กระทั่งการเป็นนายของตนเอง  คุณยังไม่สามารถเป็นได้แล้วจะมีอำนาจอะไรไปควบคุมสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากตัวตนของคุุณได้เล่า  ผู้ที่ประสบความสำเร็จล้วนแต่เป็นผู้ที่มีวินัยในตนเอง  คนที่ไม่มีวินัยในตนเองยากจะทำอะไรให้ประสบความสำเร็จได้  ฉะนั้นก่อนจะร่ำรวยซึ่งทรัพย์สินเงินทอง  ความรู้ความสามารถ  สุขภาพร่างกายที่แข็งแรง  คุณต้องเป็นคนที่มี 'วินัย' ในตนเองเสียก่อน

"วินัยคือความสม่ำเสมอต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง  
ความสม่ำเสมอที่ตีความหมายได้ว่า 'เป็นประจำ' 
ไม่ละทิ้ง ไม่หยุุดลงกลางคัน 
จนกว่าสิ่งที่ตั้งใจทำจะประสบความสำเร็จอย่างที่ต้องการ"

สมมุติว่า  คุณต้องการเล่นเปียโนให้เก่ง  คุณต้องมีวินัยในการฝึกซ้อมเป็นประจำทุกวัน  ไม่ขี้เกียจหรือล้มเลิกกลางคัน  เมื่อฝึกฝนทุกวัน  ย่อมเกิดความชำนาญ  วันหนึ่งคุณจะเป็นนักเล่นเปียโนที่เก่งที่สุดคนหนึ่ง  การมีวินัยในตนเองเป็นเรื่องยาก  แต่ใช่ว่าจะยากเกินกว่าการฝึกฝนให้เป็นสิ่งที่มีอยู่ในตนเอง  แล้วผลตอบแทนของการเป็นคน 'มีวินัย' นั้น  เป็นผลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่เสมอ



11. ร่ำรวยการเรียนรู้
ใจที่เปิดกว้างเพื่อเรียนรู้และยอมรับคือดวงจิตที่ร่ำรวยด้วยความรู้ที่ไม่มีวันหมดสิ้น  เปิดใจให้เรียนรู้กับทุกสิ่งทุุกอย่างบนโลกนี้  อย่าปิดกั้นตนเองออกจากเพื่อนมนุษย์  ความรู้และธรรมชาติที่อยู่รอบตัว  รู้จักเรียนรู้ในสิ่งที่ไม่รู้  ค้นหาความรู้ใหม่ๆ ให้รอบรูู้อยู่เสมอ  ขณะเดียวกันต้องยอมรับในสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น  ยอมรับเพื่อให้ชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุข  ใจเป็นสุข  กายเป็นสุข  สิ่งดีๆ จึงเกิดขึ้น  

เมื่อไรที่คุณเปิดใจให้กว้างคุณจะเรียนรู้สิ่งต่างๆ  ได้มากขึ้นและเรียนรู้ได้อย่างไม่มีวันสิ้นสุด
ความล้มเหลว  ทำให้คุุณได้รู้
ความผิดพลาด  ทำให้คุณได้รู้
ความกล้า  ทำให้คุณได้รู้
ความรัก  ทำให้คุณได้รู้
ความอดทน  ทำให้คุณได้รู้
ความพยายาม  ทำให้คุุณได้รู้
ความตั้งใจจริง  ทำให้คุณได้รูู้
ความมุ่งมั่น  ทำให้คุณได้รู้

สิ่งที่เกิดขึ้นในทุกวันที่คุณได้พบเจอ  เป็นความรูู้แปลกใหม่ที่เพิ่มเข้ามาให้คุณได้รู้อยู่เสมอ  ขึ้นอยู่ที่ตัวของคุณเองว่า  เปิดตาเปิดใจ  เปิดสมอง  เพื่อรับรู้สิ่งเหล่านั้นหรือยัง  เมื่อไรที่คุุณเปิดใจให้กว้าง  พร้อมเรียนรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในทุกเวลานาทีแล้ว  คุณจะกลายเป็นคนที่ร่ำรวยไม่แพ้ใครเลย



12. ร่ำรวยความเข้าใจ
เข้าใจว่าตัวคุณต้องการอะไร เพื่อให้คุณรู้อย่างถ่องแท้ว่าสิ่งไหนที่คุณต้องทำเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ  เข้าใจคนอื่นว่าเขาต้องการอะไร  เพื่อที่จะได้ตอบสนอง  ซึ่งความต้องการของเขาได้อย่างถูกต้อง  เพื่อสร้างมิตรภาพที่ดีระหว่างกัน  เพื่อให้ทุกคนยืนอยู่ฝั่งเดียวกับคุณ  เมื่อคุณเข้าใจตนเอง  เมื่อคุณเข้าใจผู้อื่น  เมื่อนั้นคุณคือคนที่เดินทางสู่ความสำเร็จไปแล้วกว่าครึ่งทาง  ในโลกใบนี้สิ่งที่เข้าใจได้ยากที่สุุุดคือ การเข้าใจตัวเอง  แต่เมื่อไรที่คุณสามารถเข้าใจตัวเองได้ก็ไม่มีอะไรในโลกแล้วที่คุณจะทำไม่ได้



วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2557

การรู้จุดแข็งจุดอ่อนของตัวเอง



การรู้จุดแข็งจุดอ่อนของตัวเอง

แรงบันดาลใจสู่อิสรภาพและร่ำรวยทางการเงิน รวย ร่ำรวย คนรวย เศรษฐี - การรู้จุดแข็งจุดอ่อนของตัวเอง


การรู้จุดแข็งจุดอ่อนของตัวเอง จะทำให้คุณเริ่มต้นการเดินทางสู่เป้าหมายของคุณได้อย่างถูกทางมากขึ้น ถ้าเช่นนั้น มาดูกันว่าคุุณเป็นนักใช้เงินประเภทใดใน 6 ประเภทนี้


1. นักใช้เงินประเภท "ช่างมันฉันไม่แคร์"
คุณทำท่าว่า "ฉันไม่แคร์" แต่ที่แท้คุณเป็น "ทาสของเงิน" อย่างน่าสงสารที่สุด  คุณไม่เพียงควบคุมเงินไม่ได้  แต่ยังเผลอยอมให้เงินเป็นนายของคุณ  บ่อยครั้งที่เงินทำให้คุณทั้งอึ้ง อาย และกลัว  แต่แทนที่จะยอมรับว่าควบคุมเงินไม่อยู่ คุณกลับเอาชีวิตรอดแบบแถๆ ด้วยการหลอกตัวเองว่า "ช่างมันฉันไม่แคร์" ฉันมีความสุขดี  มีอะไรสนุกๆ  ในชีวิตให้ทำอีกตั้งมากมายแทนที่จะมานั่งกังวลเรื่องเงิน
ปัญหาใหญ่ : เริ่มต้นคิดเรื่องเก็บเงินล่าช้า  ชอบปกปิดปัญหา  หลอกตัวเองว่าฉันสบายดี กว่าจะตื่นขึ้นมายอมรับความจริงก็แทบแก้ไขอะไรไม่ทัน
รากปม : การเงินและการลงทุนคือยาขมที่ไม่มีวันจะยอมลิ้มรส โทษพ่อแม่ของตัวเองว่าไม่เคยปลูกฝังความรู้เรื่องเงินให้เขาเลย  ทุกครั้งที่เขามีปัญหาไปปรึกษา  สิ่งที่พ่อแม่ทำคือบ่นปากเปียกปากแฉะก่อนหยิบสมุดเช็คขึ้นมาเซ็นให้
ไม่รอดแน่ถ้า : ไม่เลิกวิ่งหนีความจริงโดยถอดเกราะป้องกันตัวสารพัดชนิดออก  ต้องเลิกปฏิเสธที่จะเรียนรู้  ดับความอายที่จะยอมรับว่าไม่รู้เรื่อง  และลงมือทำความเข้าใจมันอย่างจริงจัง
ลงมือเดี๋ยวนี้ : หักดิบนิสัยเดิม  ถ้ามีหนี้สินต้องรับรู้และพยายามกำจัดโดยด่วน  หาเทคนิคใช้หนี้ที่เข้มงวดกับตัวเองที่สุด  เช่นให้เจ้าหนี้หักบัญชีทุกเดือน  ทำอย่างเดียวกันกับบัญชีเงินเก็บ ให้ธนาคารโอนเงินอัตโนมัติทุกครั้งที่เงินเดือนออกท่องไว้ให้ขึ้นใจ : อย่าเชื่อว่าคุณทำไม่ได้  เดี๋ยวจะเป็นจริง  คิดว่าทำได้ทำได้และทำได้เท่านั้น


2. นักใช้เงินประเภท "ตะกายดาว"
คุณเป็นพวกอยากยกระดับฐานะ  ชีวิตคือการแข่งขันและความฝันคือการอยู่เหนือคนอื่น  คุณต้องได้ในสิ่งที่อยากได้  แม้จะต้องเหน็ดเหนื่อยดิ้นรนปานใดคุณก็ไม่หวั่น  คุณไม่เพียงทุ่มเทพลังแรงกล้าที่จะประสบความสำเร็จ  แต่ยังยอมทุ่มเทเงินทองเพื่อสร้างภาพพจน์ของผู้ประสบความสำเร็จด้วย  การกระหายความยอมรับนับถืออาจทำให้คุณตกหุบเหวหายนะได้ง่ายๆ อนาคตคุณอาจกลายเป็นโคบาลที่สวมหมวกสวยใบใหญ่แต่ไม่มีวัวเหลือเลยสักตัว
ปัญหาใหญ่ : คุณมีแต่หน้า  ไม่มีเงิน  คุณไม่ได้ถังแตกก็จริง แต่การประคองชีวิตเลิศหรูในแต่ละเดือนนั้นเล่นเอาคุณกระเป๋าแห้ง คุณไม่ได้ยากจนขันแค้น  แค่เอาเงินอนาคตมาใช้ในปัจจุบันจนเกือบหมดแล้วเท่านั้นเอง
รากปม : ส่วนใหญ่คนประเภทนี้คือบุคคลที่ฐานะทางบ้านแต่เดิมเคยมีฐานะดี แล้วเกิดมีเหตุการทำให้เหตุการณ์ผลิกพันจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ไม่รอดแน่ถ้า : ไม่หยุดคิดและทบทวนวิธีใช้ชีวิตเกินฐานะของตัวเอง
ลงมือเดี๋ยวนี้ : เลือกอย่างเดียวในชีวิตที่คุุณขาดไม่ได้ไว้ก็พอ ที่เหลือคุณต้องยอมทิ้งมันบ้าง วิธีการคือลิสต์รายการใช้จ่ายของคุณในปีที่ผ่านมา  ไม่ว่าจะเป็นเงินประกันชีวิต ค่าเล่าเรียน ท่องเที่ยว ฟิตเนส ของขวัญ แล้วเริ่มพิจารณาให้ถ่องแท้ว่ามีอะไรบ้างที่ไม่ได้ช่วยให้คุณดูดีขึ้นมาอย่างที่คุณคิด ตัดมันออกจากชีวิตเสียบ้าง
ท่องไว้ให้ขึ้นใจ : ของขวัญอย่างเดียวที่มีความหมายต่อคุณคือ คุณค่าของตัวเอง ไม่ใช่วัตถุที่คุณมีอยู่


3. นักใช้เงินประเภท "เสพติดหนี้"
คุณเป็นพวกไม่มีเป้าหมายชีวิต  เสพติดการใช้จ่าย  คุณอ่อนแอเกินกว่าจะยอมรับว่าคุณกำลังถังแตก  คุณแก้ปัญหาแบบขายผ้าเอาหน้ารอด  คุณกำลังกดหัวตัวเองจมน้ำลงไปเรื่อยๆ คุณต้องการความช่วยเหลือด่วน  ถ้ายังไม่อยากขาดใจตายใต้โคลนดูด
ปัญหาใหญ่ : มีชีวิตอยู่เพื่อปัจจุบันเท่านั้น  สุขปัจจุบันสำคัญเหนืออื่นใด  แม้สุขนั้นจะเกิดจากการใช้เงินที่ไม่ใช่ของตนก็ตาม  มองโลกในแง่ดีว่าไม่ช้าปัญหาจะหมดไป  แต่ด้วยวิธีไหนยังไม่อยากคิด
รากปม : ไม่ใช่ไม่รู้ว่านิสัยของตัวเองเป็นอย่างไร แต่อ่อนแอและรักตัวเองเกินกว่าที่จะแก้
ไม่รอดแน่ถ้า : ไม่เลิกปรนเปรอตัวเองในทางที่ผิด  ควรหันมารักตัวเองด้วยการสร้างกำลังใจให้ตัวเอง  ลุุกขึ้นจัดการกับปัญหาก่อนที่จะตกอยู่ในภาวะล้มลาย
ลงมือเดี๋ยวนี้ : ยอมรับว่าตัวเองกำลังหายนะ โทรหาเจ้าหนี้และคุยกันอย่างเปิดอก วางแผนการเงินใหม่  ลุกขึ้นมาแก้ปัญหาอย่างเข้มแข็ง  แสวงหาความช่วยเหลือจากผู้ที่มีความรู้เรื่องการปลดหนี้
ท่องไว้ในใจ : อดีตคืออดีต  คุุณแก้มันไม่ได้  แต่คุณแก้ปัจจุบันได้ถ้าคุณลงมือทำ


4. นักใช้เงินประเภท "ชมรมขนหัวลุก"
คุณกลัวความไม่มั่นคงจนขนหัวลุก  คุณจึงคิดคำนวณค่าใช้จ่ายทุกบาททุกสตางค์อย่างละเอียดยิบ  คุณเป็นแม่บ้านประเภทมีคูปองส่วนลดติดกระเป๋าเป็นปึก  เปรียบเทียบราคาทุกห้างก่อนซื้อของสักชิ้นไชโยโห่ฮิ้วได้เลย สมาชิก "ชมรมขนหัวลุก" อย่างคุณได้รวยแน่  แม้โอกาสที่ "ชมรมขนหัวลุก" จะเป็นหนี้สินจะยากมาก  แต่โอกาสที่พวกเขาจะได้เงินก้อนโตจากการเสี่ยงก็ยากไม่แพ้กัน  ความกลัวทำให้  "ชมรมขนหัวลุก" สูญเสียโอกาส  พวกเขากลัวที่จะลงทุน  กลัวที่จะสูญเงินทุน  แม้คนกลุ่มนี้จะมีเงินเก็บ  แต่เงินเก็บของพวกเขาจะทวีค่าช้ามาก
ปัญหาใหญ่ : เงินก็เหมือนคน ให้นั่งเฉยๆ ทั้งวันไม่ทำอะไรเลยย่อมเป็นผลเสียต่อสุขภาพ  แม้จะได้ดอกเบี้ยธนาคาร  แต่อัตราเงินเฟ้อจะทำให้เงินที่ดองในขวดโหลลดค่าของมันลงเรื่อยๆ
รากปม : อาจเคยยากจนมาก่อน  จึงไม่เคยลืมเลือนวันที่แสนทุกข์เข็ญในอดีต
ไม่รอดแน่ถ้า : ยังยอมให้เงินมีอิทธิผลเหนือชีวิตขนาดนั้นเพราะไม่ใช่เงินหรอกที่ทำให้คุณเครียด ความวิตกกังวลของคุณเองต่างหาก  เรียนรู้ที่จะปล่อยวางอดีตลงเสียบ้าง  ปรับชีวิตปัจจุบันให้สมดุลและเข้าใจธรรมชาติของความไม่แน่นอน
ลงมือเดี๋ยวนี้ : ใช้บุคลิกที่ได้เปรียบของคุณให้เป็นประโยชน์  แทนที่จะวิ่งหนีความเสี่ยง  จงใช้ความอดทนอดกลั้นและละเอียดถี่ถ้วนของคุณทำให้เงินงอกเงย  ขณะที่คนอื่นต้องฝึกอดทนอดกลั้น  คุณก็ต้องฝึกที่จะสนุกกับความเสี่ยงบ้าง  คุุณอาจเริ่มต้นจากการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำก่อน  จนมีความชำนาญ แล้วจึงเริ่มขยับไปหาการลงทุนหลายๆ รูปแบบ
ท่องไว้ในใจ : ชีวิตแสนสั้น  การคอยนับสตางค์แม้จะไม่เสี่ยงแต่ก็ไม่มีความสุข  ใช้ชีวิตของคุณให้มีรสชาติขึ้นอีกนิด  คุณเป็นหนี้บุญคุณชีวิตอยู่นะ


5. นักใช้เงินประเภท "รถไฟเหาะ"
คุณเป็นประเภทคิดถึงความมั่นคงเป็นหลัก  และโชคดีที่คุณมีมันสำเร็จ  คุุณทำประกันชีวิตที่มีทุนประกันสูงพอสมควรและมีบัญชีเงินเก็บหลังเกษียณแล้ว แต่คุณกำลังจะลงมือทำอะไรบางอย่างที่ใจรัก  ซึ่งมันจะนำคุณไปสู่ความเสี่ยง  คุณอยากขึ้นรถไฟเหาะ  แต่คุณยังลังเลกลัวว่ามันจะเกิดอุบัติเหตุุกลางอากาศ
ปัญหาใหญ่ : แม้คุณจะดูเหมือนประสบความสำเร็จ  แต่แท้จริงแล้วคุณรู้สึกว่ามันยังไม่เกิดขึ้นกับคุณจริงๆ คุณมีเงินเก็บก้อนใหญ่  แต่นั่นไม่ทำให้คุณรู้สึกอิ่มเต็มในส่วนลึกของจิตใจ
รากปม : ถูกปลูกฝังความคิดจากคนรุ่นเบบี้บูม  ต้องจบมาสอบเข้างานราชการเพราะมีความมั่นคง มีสวัสดิการ พ่อแม่อยู่สบาย
ไม่รอดแน่ถ้า : ไม่เริ่มต้นทำในสิ่งที่ติดค้างในใจ  จงใช้ทักษะที่คุณมีอยู่เปี่ยมล้นในตัวเพื่อไปสู่เป้าหมายที่คุณปรารถนา
ลงมือเดี๋ยวนี้ : ตอบตัวเองให้แน่ชัดถึงสิ่งที่คุณต้องการจริงๆ ในชีวิต  แล้ววางแผนจัดชีวิตให้ใกล้เคียงกับสิ่งที่คุณปรารถนาให้เป็น  ก่อนลงมือทำในสิ่งที่คุณไม่แน่ใจ  ให้ลดความเสี่ยงลงด้วยการเตรียมการไว้ในยามที่ทุกอย่างพลิกผัน ทำประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญการลงทุน  ทำทุกอย่างที่จะช่วยลดความวิตกกังวลของคุุณ
ท่องไว้ให้ขึ้นใจ : ชีวิตก็เหมือนรถไฟเหาะ ไม่มีอะไรที่ได้มาโดยไม่เสี่ยง


6. นักใช้เงินประเภท "ชีวิตคือการพนัน"
ชีวิตคือการพนัน  ไม่ได้ก็ต้องเสีย  คือปรัชญาชีวิตของคนกลุ่มนี้  ที่มักรวมเอาบรรดา "ผู้ประกอบการ" ประเภท "หมูุไม่กลัวน้ำร้อน" ไว้ด้วย คนกลุ่มนี้คิดว่าตัวเองเก่ง ฉลาด เร็ว รู้ทัน คม เขี้ยวและไม่มีทางล้มเหลว พวกเขาเป็นพวกเร้าร้อน  อยากลอง  และมั่นใจว่ายังไงมันก็ต้องได้ผลแน่ๆ
ปัญหาใหญ่ : คนกลุ่มนี้ใช้เงินด้วยอารมณ์ล้วนๆ พวกเขามักต้อง "พิสูจน์" ตัวเองด้วยการลงทุนทำอะไรสักอย่างอยู่เสมอ  ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ล้มและเจ็บ แต่เมื่อลุกขึ้นมาใหม่ก็มั่นใจเกินร้อยทุกครั้ง  พวกเขาไม่เคยประเมินสถานการณ์ในทางลบเลย
รากปม : เปรียบเสมือนพวกมือใหม่หัดเป็นนักลงทุน
ไม่รอดแน่ถ้า : ไม่ลดความร้อนแรงลงบ้าง  ความมั่นใจในตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ  แต่ต้องประกอบด้วยความสุขุมรอบคอบจึงจะดี
ลงมือเดี๋ยวนี้ : หัดวางแผนชีวิตบ้าง  ชีวิตไม่ใช่เรื่องเสี่ยงอย่างเดียว  ชีวิตต้องมีแผนการด้วยสำหรับผู้ประกอบการ  คุณอาจต้องเปลี่ยนวิธีทำงาน เลิกระบบ "ข้ามาคนเดียว" ให้มืออาชีพที่เชี่ยวชาญชำนาญกว่าคุณเข้ามาช่วยดำเนินธุรกิจเพื่อลดความเสี่ยง แต่ถ้าคุณคือผู้ชำนาญการคนนั้นก็ลองหัดหาเงินคนอื่นมาลงทุุนให้ตัวเองบ้าง
ท่องไว้ให้ขึ้นใจ : ชีวิตไม่ใช่สนามแข่งรถ  ไม่ต้องเหยียบมิดเสมอไปก็ได้



วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2557

ก้าวแรกสู่เงินล้าน



ก้าวแรกสู่เงินล้าน

แรงบันดาลใจสู่อิสรภาพและร่ำรวยทางการเงิน รวย ร่ำรวย คนรวย เศรษฐี - ก้าวแรกสู่เงินล้าน


อุ่นเครื่องก่อนออกวิ่ง
สำหรับคุณที่มีปัญหาการเงินคั่งค้าง  คุณที่ใช้จ่ายไม่ชนเดือน  มีหนี้สินบัตรเครดิต  เป็นหนี้นอกระบบก้อนโต  คุณควรเริ่มต้นจากหนังสือที่จะช่วยแก้ปัญหาดั้งเดิมของคุณก่อน  ผู้ที่มีหนี้สินท่วมหัว  ขอแนะนำหนังสือ "คู่มือเกี่ยวกับการปลดหนี้"  และผู้ที่มีปัญหาใช้จ่ายเกินรายได้  โปรดอ่าน "คู่มือเกี่ยวกับการเก็บเงิน"  หนังสือทั้งสองประเภทนี้จะช่วยให้คุณ "จัดการ" ปัญหาเรื่องเงินที่คั่งค้างให้หมดไปก่อนเริ่มเป้าหมายเงินล้าน  ส่วนผู้ที่ไม่มีปัญหาใช้จ่ายไม่ชนเดือนและไม่มีหนี้สินคั่งค้าง ก็ "ลุย" เต็มที่

สิ่งที่คุณต้องมี
นิสัยที่คุณต้องสร้างก่อนวางเป้าหมายเงินล้าน คือ

1. ทัศนคติแห่งความเป็นไปได้
จงบอกตัวเองอย่างเชื่อมั่นว่า  "ฉันมีสิทธิ์มีเงินล้าน"  เลิกมองเงินล้านเป็นเรื่องเพ้อฝัน  คุณล้มเหลวแน่ถ้าคุณคิดว่ามันเกินเอื้อม  ทาสของเงินชอบคิดแบบนั้น  คุณไม่ได้เป็นทาสของเงิน  คุณเป็นนายของมัน

2. ความรักและศรัทธาในตัวเอง
จงรักและศรัทธาในตัวเองเสมอ  วาดภาพตัวเองในฐานะที่มั่งคั่ง  มีความมั่นคงในชีวิต  อยู่ในบ้านที่คุณอยากอยู่  ล้อมรอบด้วยคนที่คุณอยากอยู่ด้วย  แล้วทุ่มเทพลังทำมันให้เป็นจริง

3. ความกล้าหาญที่จะลงมือ
จงคิดถึงเป้าหมายของคุณเองเป็นอันดับหนึ่ง  แล้วกล้าพอที่จะจ่ายให้ตัวเองก่อนเสมอ  เช่น ถ้าคุณตั้งเป้าจะออมเดือนละ 10% ของเงินเดือน  เมื่อเงินเดือนออก  ให้ตัดเงินก้อนนี้เข้าบัญชีเงินเก็บของคุณทันที  จากนั้นจึงค่อยบริหารเงินส่วนที่เหลือใช้เงินให้น้อยกว่าที่หาได้จนเป็นนิสัย  ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องใช้

4. ความรักที่จะลงทุน
อย่ากลัวที่จะเรียนรู้เรื่องการลงทุน  เช่น  เมื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำเตี้ย  แบ่งเงินเก็บราว 10% ไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนเกิน 10% เสมอ  มีคนมากมายที่หาเงินล้านได้โดยแค่รู้จัก "ลงทุนอย่างฉลาด" ด้วยปรัชญา "ไม่ต้องมาก ไม่ต้องเสี่ยง" คุณควรศึกษาหาความรู้ในเรื่องการลงทุนที่เหมาะกับคุณ  แล้วแบ่งเงินบางส่วนมาลงทุน  จะช่วยเร่งระยะเวลาไปสู่เป้าหมายเงินล้านให้เร็วขึ้นมากๆ



5 ศัตรูุที่คุณต้องกำจัด
ขณะที่คุณเริ่มเพาะนิสัยเงินล้านอยู่นี้  คุณต้องระวัง "ศัตรูตัวร้าย" ที่ซุ่มซ่อนอยู่รอจังหวะเข้าขัดขวางยื้อแย่งความสำเร็จจากคุณด้วย  ศัตรูผู้ประสงค์ร้ายที่คอยอิจฉาริษยา  กีดกันทุกวิถีทางไม่ให้คุณรวย ศัตรูที่ว่านี้ คือ "นิสัยไม่ดี" บางอย่างที่อยู่ในตัวคุณเอง! อย่าสะดุ้งตกใจ "นิสัยไม่ดี" เหล่านี้มีอยู่ในพวกเราทุกคน  เพียงแต่จะมีมากหรือมีน้อย  และที่สำคัญคือ เราจะรู้หรือไม่ว่าเราจะรู้ตัวเองหรือป่าวว่าเรามีนิสัยไม่ดีในด้านใดบ้าง  ระหว่างที่คุณกำลังวางแผนเก็บเงิน  ศัตรูตัวฉกาจเหล่านี้อาจโดดเข้ามาฉีกทึ้งแผนของคุุณเมื่อไหร่ก็ได้  ดังนั้นระวังมันไว้ให้จงหนัก

1. นิสัยไม่เอาจริง
คุณอยากรวย  แต่พอจะเริ่มวางแผนรวยเข้าจริงๆ กลับ "ไม่เอาจริง" เสียอย่างนั้น  น่าเศร้าที่คุณขยันทำงานจนสายตัวแทบขาด  แต่สุดท้ายแล้วกลับขี้ขลาดเกินกว่าที่จะ "ขยัน" ทำตัวเองให้รวย  มีบ้างไหมรอบตัวคุณ  ใครบางคนที่ "บุคลิกที่ยอดเยี่ยม  ความสามารถก็ยอด  แต่หน้าที่การงานกลับงั้นๆ ไปไม่ถึงไหนสักที" น่าสงสารใช่ไหม  อยากให้ชะตากรรมแบบนี้เกิดขึ้นกับคุณแบบนี้ใช่ไหม?  ดังนั้น  สิ่งที่ยากที่สุดคือการไม่ยอมให้ความฝันของคุณเป็นแค่ "ไฟไหม้ฟาง"  คุณจะมีเงินล้านไม่ได้  ถ้าไม่ยอมกำจัดนิสัย "ไม่เอาจริง" ให้สิ้นซาก

2. นิสัยผลัดวันประกันพรุ่ง
ความมั่นคงในชีวิตนั้นแม้เป็นโครงการระยะยาวของแท้  แต่มันง่ายแค่เริ่มต้น  เวลาในชีวิตที่คุณเสียไปกับอย่างอื่นที่คิดว่าสำคัญนั้น  แท้จริงแล้วไม่มีอะไรสำคัญยิ่งกว่าความมั่นคงในชีวิตของคุณเลย  คนทั่วไปจะต้องพูดว่า "เราจะลงมือกันพรุ่งนี้" แต่ (ว่าที่) เศรษฐีเงินล้านอย่างคุณต้องพูดว่า "แล้วทำไมต้องเป็นวันพรุ่งนี้ล่ะ" นิสัยผลัดวันประกันพรุ่งนี้เป็นนิสัยแห่งความล้มเหลวที่น่ากลัวที่สุด  คนแต่ละคนจะมี "ข้ออ้าง" ที่สมเหตุสมผลต่างกันไป  ขณะที่หนุ่มสาววัยสามสิบอาจเชื่อว่าเชื่อว่าพวกเขายังอายุน้อยเกินกว่าที่จะคิดเรื่องการเก็บเงินเพื่อวัยเกษียณ  คุณลุงคุณป้าก็แก้ต่างว่ามีภาระต้องเลี้ยงดูบุตรหลานมาตลอดชีวิตพวกท่านจึงไม่มีเงินเหลือเลยในวัยชรา  คุณรู้แล้วว่า การผลัดวันประกันพรุ่งมาชั่วชีวิต  ลองเดาต่อสิว่า  การผลัดวันประกันพรุ่งของหนุ่มสาววัยสามสิบจะส่งผลอย่างไรต่อชีวิตของพวกเขาในวัยไร้งาน

3. นิสัยรักตัวเองในทางที่ผิด
สังคมบริโภคนิยมปลูกฝังให้เราหลงใหลคลั่งไคล้ความสุขชั่ววูบเราจมอยู่ในทรายดูดแห่งโฆษณารสนิยมของเรา  ไลฟ์สไตล์ของเรา  สถานที่ที่เราไป  ตราสินค้าที่เราใช้  โรงพยาบาลที่เราใช้บริการ  รถที่เราขับ  จนถึงโรงเรียนที่ลูกเราเรียน  ล้วนมีความสำคัญเหนือกว่าความมั่นคงในชีวิตของเราทั้งสิ้น  เราจึงต้องอาศัย "สติ" อย่างมากที่จะเตือนตัวเองว่า  การใช้จ่ายเพื่อตัวเองทั้งหมดที่เราคิดว่า "จำเป็นมาก" นั้นที่แท้คือการถูก "สะกดจิต" หรือไม่  การที่คุณต้องมีมันเพื่อบอกว่าเราคือใครนั้นเป็นการรักตัวเองที่ถูกต้องหรือเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น

4. นิสัยเกลียดการเรียนรู้
นักเก็บเงินที่ล้มเหลวมักทิ้ง "การเรียน" ทันทีที่จบการศึกษา ทั้งๆ ที่ชีวิตกับการเรียนรู้เป็นของคู่กันอย่างแยกไม่ออก  นิสัยปฏิเสธการเรียนรู้ของพวกเราไม่เพียงเป็นกำแพงที่ขวางเราไว้จากความร่ำรวย แต่ยังอาจพาพวกเราสู่หายนะแห่งความเข้าใจผิด  คุณจะรวยเร็วขึ้นมาก  ถ้าลดละเลิกนิสัยกลัวการเรียนรู้  นับจากนี้ไม่ว่าจะลงมือทำอะไร  ต้องเริ่มต้นทำความเข้าใจให้ถึงแก่นแท้

5. นิสัยใจอ่อน
คนที่มีเงินเก็บเพียงพอไว้ใช้จ่ายในยามเกษียณ  มักเป็นคนละคนกับคนที่ได้เงินก้อนโตมาอย่างง่ายๆ  ยิ่งง่ายยิ่งอันตราย  บรรดาดารานักแสดงที่รวยเร็ว  นักมวยที่ได้เงินล้านเป็นรางวัล  และคนที่บุญหล่นทับถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง  มักมีบั้นปลายชีวิตที่ลำบากยากแค้นอย่างไม่น่าเชื่อ  เงินที่ได้มาง่าย  มักสูญหายไปง่าย  ถ้าอยู่ในเงื้อมมือของคนที่ขาดวินัยทางการเงิน  หากคุณอยากมีบั้นปลายชีวิตที่สุขสบายพอควร วินัยในทางการเงินเป็นสิ่งสำคัญมาก  จงปฏิบัติตามสิ่งที่คุณกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด


"บนเส้นทางสู่เงินล้าน  จงขับรถสู่จุดหมายของคุณอย่างระมัดระวัง  
ถ้าศัตรูตัวใดก็ตามพยายามขวางทางคุณ  ชนมันให้กระเด็ด"



วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2557

ข้อคิดสู่เงินล้าน



ข้อคิดสู่เงินล้าน

แรงบันดาลใจสู่อิสรภาพและร่ำรวยทางการเงิน รวย ร่ำรวย คนรวย เศรษฐี ข้อคิดคนรวย : ข้อคิดสู่เงินล้าน


95% ต้องไม่ใช่คุณ
ข่าวร้ายที่คุณอาจต้องทำใจรับฟัง  มีผู้คนในโลกนี้ที่ไม่เคยบรรลุเป้าหมายทางการเงินจนชั่วชีวิตมากถึง 95%  ในยามเกษียณสิ่งเดียวที่พวกเขาเหล่านี้ฝากชีวิตที่เหลือไว้คือบำนาญหรือระบบสวัสดิการสังคม  ดังนั้น  เพื่อป้องกันไม่ให้คุณตกอยู่ในกลุ่ม 95% ที่ไปไม่ถึงฝั่งฝัน  คุณต้องระมัดระวังไม่ให้คุณเองถูกสกัดกั้นกลางทางด้วยอุปสรรคที่ทำให้ทุกคนสะดุดล้มมาแล้ว  เพื่อเอาชนะความล้มเหลวที่มีโอกาสเกิดขึ้นสูงมาก  คุณจึงควรยึดมั่นในหลักการสำคัญๆ ที่จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายเงินล้านอย่างยั่งยืน

คุณมีสิทธิเลือกเสมอ
ทุกบาทสตางค์ที่คุณได้มา คุณมีสิทธิที่จะเลือก "เก็บมันไว้" หรือ "ใช้มันออกไป" หรือ "ใช้มันทำงานให้คุณ"  เงินเป็นของคุณ  คุณเป็นผู้ทรงสิทธิอย่างเต็มเปี่ยมที่จะจัดการกับมัน  เป็นการง่ายเหลือแสนที่คุณจะใช้มันออกไปโดยไม่ได้อะไรคืนเลย  คุณไม่ต้องคิดมากก็ได้ถ้าคุณอยากใช้ชีวิตวันต่อวัน  แต่ขอให้คุณอ่านประโยคนี้อีกครั้ง



"ทุกบาทสตางค์ที่คุณได้มา คุณมีสิทธิที่จะเลือก "เก็บมันไว้" 
หรือ "ใช้มันออกไป" หรือ "ใช้มันทำงานให้คุณ"  เงินเป็นของคุณ"


หนี้สิน(หนี้เสีย) คือ ตัวถ่วง
หนี้เสีย คือ หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์
จดจำคำพูดน่าคิด "ถ้าคุณกินหรือสวมมันไม่ได้ อย่าจ่ายด้วยบัตรเครดิต" ไว้ให้ดี แต่ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น "ไม่ว่าอะไร ไม่จ่ายด้วยบัตรเครดิตเลย" จะแจ๋วกว่า  และหากคุุณกำลังจะรูดบัตรเครดิตซื้อของที่คุณไม่มีเงินจ่ายแล้วล่ะก็  ให้ถือว่าคุณกำลังลงมือกระทำอาชญากรรมต่อตัวคุณเองเลยทีเดียว  หากคุณมีบัตรเครดิตกองเป็นตั้ง  รีบกำจัดบัตรเครดิตส่วนเกินของคุณให้หมด  จนเหลือแต่บัตรหลักไม่เกินสองใบ จำไว้ให้ฝังใจว่า "หนี้สินคือก้อนหินที่คอยถ่วงคุณให้จมน้ำ" หนี้สินการบริโภคทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง  ทำลายกระแสเงินสด  ทำลายโอกาสลงทุน  ทำลายความรื่นรมย์ที่แท้จริงของชีวิต  ถ้าจะมีหนี้สิน  จงเลือกมีเฉพาะหนี้สินทีเกิดประโยชน์จริงๆ  หนี้สินที่คุณคำนวณแล้วว่าสร้างความมั่งคั่งคุ้มค่าในอนาคตเท่านั้น  คุณรู้จักอิทธิฤทธิ์ของดอกเบี้ยทบต้นดีกว่าใคร  จงใช้มันให้เป็นประโยชน์กับตัวเอง อย่าใช้มันทำลายตัวคุณ 

ให้เงินต่อเงิน
มอบหมายหน้าที่ให้เงินทำงานโดยเร็ว  ไม่ได้แปลว่ามีเงินเท่าไหร่ต้องทุ่มเทลงทุนทั้งหมด  แต่คุณต้องมีเงินก่อน  เงินจึงจะต่อเงินให้คุณได้  ถ้าไม่มีเงินเลย  จงเร่งเริ่มจากการออมหรือลงทุนอย่างเดือนละ 10% ของรายได้  ทำทันทีโดยไม่ต้องรอให้มีเงินมากกว่านี้  แม้คนที่มีเงินเดือนน้อยนิดก็ออมเงินสำเร็จมาแล้วมากต่อมาก  สิ่งสำคัญคือหมั่นออมเพิ่มหรือลงทุนเพิ่มให้สม่ำเสมอทุกๆ เดือน  จะเก็บไว้ในธนาคารหรือซื้อกองทุนรวมเพิ่มทุกเดือน  ก็สุดแท้แต่ความชอบส่วนตัวของคุณ  จ่ายตัวเองก่อนจ่ายคนอื่น  ทันทีที่มีรายได้  โอนเก็บเข้าบัญชีเลย  สร้างเครื่องมือที่จะทำคุณเก็บออมหรือลงทุนได้อย่างง่าย  สม่ำเสมอและเป็นอัตโนมัติ  ทันทีที่เงินเติบโตให้ผลตอบแทน  อย่าเพิ่งเก็บเกี่ยวเก็บผลตอบแทนนั้น  นำเงินนั้นลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ดอกผลจากดอกผลงอกเงยขึ้นอีก

เขียนแผนให้เป็นลายลักษณ์อักษร
การสัญญาหรือสาบานกับตัวเองว่า "ฉันจะรวย" คงยังไม่พอ  แผนที่อยู่ในใจใครจะอ่านออก คุณจะเริ่มต้นได้อย่างไรถ้าไม่รู้ที่มาที่ไปของตัวเลข  ผู้คนมากมายเก็บเงินไม่ได้เพราะไม่เคยสนใจที่จะเขียนแผนเป็นลายลักษณ์อักษร  จำเป็นมากๆ ที่คุณต้องเขียนมันออกมาบนกระดาษหรือบันทึกมันในแฟ้มข้อมูล  คุณไม่จำเป็นต้องเป็นนักบัญชีชั้นเลิศ  แต่หัดใช้ชอฟแวร์ง่ายๆ ให้เป็นประโยชน์  หรือจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายง่ายๆ ด้วยโปรแกรม Excel ในการนำเสนอผลงานต่อลูกค้า  คุณอยู่แถวหน้าของนักนำเสนอที่ใครๆ ก็ยกย่อง แล้ว "โปรเจคท์สำคัญที่สุดในชีวิต" คุณจะดำเนินการด้วยปากเปล่าอย่างนั้นหรือทั้งหมดนี้คือแผนที่ชีวิตของคุณ ทุกอักษรคือคำมั่นสัญญา ทุกตัวเลขที่ได้มาคือผลงานของคุณ



"นี่คือโครงการสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต  คุณจะสอบตัวเองผ่านไม่ผ่านอยู่ที่งานชิ้นนี้  
ดังนั้นจงสร้าง Action Plan อย่างจริงจัง  ด้วยการทำมันให้เป็นลายลักษณ์อักษร" 



ความรู้คือประทีป
การลงทุนที่ดีที่สุดคือการลงทุนสร้างความรู้  ความรู้ไม่เพียงสร้างแรงบันดาลใจ  แต่ยังอาจเปลี่ยนโลกทั้งใบของคุณ  คนไทยไม่ชอบอ่านหนังสือ  เราอ่านเฉพาะเมื่อถูกครูบังคับ  เมื่อจบจากโรงเรียน มหาวิทยาลัย เราจึงดีใจมากๆ ที่เราไม่ต้องอ่านหนังสืออีกต่อไป  ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่มี "ข้อมูลใหม่" หลังจากทำงานไปสักสิบปี  หลายคนเริ่มรู้สึกว่าชีวิตเริ่มซ้ำซาก  ไม่มีความหมาย  ไม่มีแรงบันดาลใจจ  และผลลัพธ์สุดท้ายคือการประคองชีวิตไปวันต่อวัน  การอ่าน คิด เขียน ฟัง  คือการสะสมทรัพย์ฝากธนาคารสมอง  ดอกเบี้ยปัญญาจะเพิ่มพูนอย่างรวดเร็ว  ความรู้ทำให้คุณมีความเชื่อมั่น  ปัญญาทำให้คุณรู้ทันชีวิต ความรู้ใหม่ๆ ไม่เพียงทำให้เกิดความคิดใหม่ๆ ไม่เพียงทำให้เกิดความคิดใหม่ๆ  แต่ยังทำให้คุณเห็นช่องทางไต่เต้าในหน้าที่การงาน  เพิ่มช่องทางสร้างรายได้  มองเห็นโอกาสในธุรกิจใหม่ๆ ก่อนใครๆ เสมอ


"ออมความรู้ให้สม่ำเสมอเหมือนออมเงินในบัญชี  
ให้โอกาสสมองได้อัพเกรด เหมือนอัพเดทสมุุดบัญชีทุกเดือน" 


เข้าใจความเสี่ยง
ยอมรับอย่างผู้เข้าใจโลกการเงินว่า ทันทีที่คุณทุบกระปุกหรือเอาเงินออกจากกระเป๋า  คุณกำลังเข้ามาสู่โลกของความเสี่ยง  เพื่อลดความเสี่ยงที่คุณเผชิญอยู่  คุณมีหน้าที่ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงกับผลตอบแทนด้วยตัวคุณเอง  คุณต้องประมวลความรู้ความเข้าใจก่อนตัดสินใจด้วยตัวเอง คุณมีสิทธิจะกระจายความเสี่ยงด้วยการจัดสำรับการลงทุนให้หลากหลาย  แต่คุณไม่มีสิทธิที่จะโทษใครหากการเลือกสรรของคุณไม่ส่งผลดังใจคิด

เรียนรู้เรื่องภาษี
มีผู้คนจำนวนมากที่เสียภาษีมากมายโดยไม่ยอมเรียนรู้สิทธิประโยชน์ด้านภาษี  ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองสามารถประหยัดภาษีได้หลายวิธี  ถ้าคุณงุนงงไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีการลงทุนใดที่ให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีบ้าง  ขอให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่รับจัดการด้านภาษี  เสียเงินค่าปรึกษาเล็กน้อย  คุณจะพบวิธีการที่จะประหยัดภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมายมากมาย  พยายามควบคุมการจ่ายภาษีของคุณให้อยู่ในราว 10%  ตัวอย่างวิธีประหยัดภาษีที่น่าสนใจคือ  การลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่บริษัทของคุุณมีอยู่  หรือถ้าคุณประกอบอาชีพอิสระ  แบ่งเงินลงทุนบางส่วนไม่ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) คุณจะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างคุ้มค่า

อย่าให้ความโลภบังตา
มีผู้คนมากมายที่สะดุดก้อนหินหน้าคว่ำคำมำหงายเพราะพยายามจะวิ่งปาดหน้าคนอื่น  คุณมีสิทธิที่อยากรวยเร็ว  แต่ต้องไม่ใช่ด้วยทางลัด  ไม่ใช่ด้วยการเหยียบไหล่คนอื่น  ไม่ใช่ด้วยการขี้โกง  ความล้มเหลวที่คุณไปสู่เป้าหมายไม่สำเร็จ  ยังไม่เจ็บปวดเท่าปัญหาใหญ่ที่เกิดจากการที่คุณ  อยากรวยด้วยวิธีการที่ไร้คุณธรรม

คุณเป็นนายของเงิน  อย่าตกเป็นทาสของมัน
คุณต้องการเงินล้านและความมั่นคงของชีวิต  แต่คุณรู้นะว่ามันไม่ได้รับประกันความสุขเสมอไป  เพราะสุดท้ายแล้ว  ความสุขที่แท้จริงในชีวิตของคุณขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินหรือสิ่งที่เงินซื้อมาเพียงเท่านั้น


"มันคงดีไม่น้อย  ถ้าเรารายล้อมด้วยเงินมากมาย  และสิ่งที่ใช้เงินซื้อหามาได้  แต่เราต้องแน่ใจนะว่า  ตลอดเวลาที่เราขวนขวายหารเงินและสิ่งที่ใช้เงินซื้อหามาได้  เราไม่ได้สูญเสียสิ่งที่ใช้เงินซื้อหามาไม่ได้ไปด้วย"

วันเสาร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2557

คติของนักพนัน



คติของนักพนัน

แรงบันดาลใจสู่อิสรภาพและร่ำรวยทางการเงิน รวย ร่ำรวย คนรวย เศรษฐี - คิดบวก คนชั้นกลางและคนรวย ความคิดที่แตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจน 1



"อย่านับเงินของคุณเวลาที่คุณกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะ" 


นักพนันหลายคนปฏิบัติตามคติที่ล้ำค่านี้  จากประโยคนี้  การที่เงินของคุณอยู่ในแผนเพื่อการเกษียณอายุุตามมาตรฐาน  เป็นการฝ่าฝืนกฎข้อสำคัญที่นักพนันและนักลงทุนมืออาชีพปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

1. ตราบใดที่เงินของคุณยังอยู่บนโต๊ะ  เงินนั้นไม่ใช่เงินของคุณ  ตราบใดที่เงินของคุณอยู่ในเกม  เงินนั้นเป็นของเกม  ไม่ใช่ของคุณ
2. เกมมีความสำคัญกว่าการนับเงิน  การมีสมาธิกับเกมจะทำให้คุณชนะ  ถ้าไม่มีสมาธิกับเกมและเริ่มนับเงิน คุณก็จะเสียสมาธิกับการนับเงินของคุณ  เงินจึงมีความสำคัญมากกว่าเกม  เหตุผลที่ทำให้นักพนันเสียพนันคือ  ปล่อยให้การนับเงินมีความสำคัญมากกว่าเกม

ระหว่างปี 1995-2000 ในขณะที่ตลาดหุ้นกำลังขึ้นและแผนเพื่อการเกษียณอายุุกำลังเพิ่มมูลค่า  นักลงทุนสมัครเล่นคิดว่าพวกเขารวยแล้ว  และเริ่มใส่ใจกับเงินมากกว่าเกมเหมือนกัน  หลายคนเปิดซองจดหมายที่เกี่ยวกับเงินบำเหน็จบำนาญและเห็นตัวเลขที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น  พวกเขาคิดว่าเขารวยแล้ว  นักลงทุนสมัครเล่นจำนวนมากเริ่มซื้อบ้านหลังใหญ่กว่าเดิม  ซื้อรถ  หรือถอนเงินจากบัญชีออมทรัพย์แล้วโยนเงินมากขึ้นเข้าไปในตลาดหุ้นโดยที่ไม่คิดไต่ตรองอะไรเลย  ในขณะที่มูลค่ากองทุนเพิ่มขึ้น  หลายคนใช้สำนึกของความร่ำรวยแบบผิดๆ และใส่ใจในเงินมากกว่าเกม



เป้าหมายที่แท้จริงของเกม  3 เป้าหมายของเกม คือ
นำเงินของคุณออกไปจากโต๊ะและยังคงอยู่ในเกม  นักพนันและนักลงทุนมืออาชีพต้องการเล่นเกมด้วยเงินของคนอื่น  นั่นคือวัตถุประสงค์ของเกม  เวลาที่ผมวางเงินเดิมพันด้วยเงินทั้งหมดของผมไว้บนโต๊ะ  ผมมองไม่เห็นภาพเป้าหมายของเกม



วันพุธที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2557

การคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้



การคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้

การคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้


"ไม่มีอะไรน่าอาย เท่ากับการมองดูคนอื่น
กำลังทำในสิ่งที่คุณเคยพูดว่าทำไม่ได้"
แซม อีวิง


คนที่คิดว่าอะไรๆ ก็อาจเป็นไปได้นั้น สามารถทำภารกิจที่ดูคล้ายเป็นไปไม่ได้ให้สำเร็จลงได้  เพราะเขาเชื่อว่าปัญหามีไว้ให้แก้ไข  เพราะฉะนั้นมันย่อมต้องมีทางแก้ไขได้  เหตุผลที่เราควรเปิดใจรับการคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้  มีหลายประการดังต่อไปนี้

การคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้ ช่วยเพิ่มความเป็นไปได้
หากคุณเชื่อว่าคุณสามารถทำอะไรบางอย่างที่ยากแสนยากได้  และคุณก็ทำได้จริงๆ  ผลที่ตามมาก็คือ  จะมีประตูมากกมายเปิดอ้าต้อนรับคุณ  ถ้าคุณเปิดใจยอมรับการคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้  ก็เท่ากับคุณเปิดตัวเองรับความเป็นไปได้อีกมากมาย

การคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้  ดึงโอกาสและผู้คนมาหา
การเป็นคนที่คิดว่าทุกอย่างเป็นไปได้นั้นสามารถสร้างโอกาสใหม่และดึงดูดผู้คนได้อย่างไร  คนที่คิดการณ์ใหญ่จะดึงดูดคนระดับ "บิ๊ก" เข้าไปหาเขา  ถ้าคุณอยากทำงานใหญ่ให้สำเร็จคุณจำเป็นต้องฝึกตัวเองให้เป็นนักคิดที่เชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปได้

การคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้  เพิ่มความเป็นไปได้ของคนอื่น
นักคิดระดับบิ๊กนอกจากจะเนรมิตอะไรต่อมิอะไรได้แล้ว  ยังสร้างโอกาสที่เป็นไปได้ให้แก่คนอื่นด้วย  ที่เป็นเช่นนั้นเพราะส่วนหนึ่งเกิดจากการถ่ายทอดความเชื่อมั่นจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง  คุณจะกลายเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้นและคิดการณ์ใหญ่ขึ้น  ถ้าขลุกอยู่กับนักคิดที่เชื่อทุกอย่างเป็นไปได้



การคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้

เปิดทางให้คุณฝันถึงความฝันอันยิ่งใหญ่
ไม่ว่าคุณจะทำอาชีพอะไร  การคิดว่าทุกอย่างเป็นไปได้จะช่วยคุณขยายเส้นขอบฟ้าและฝันถึงฝันอันใหญ่กว่าเดิมได้  ถ้าคุณยอมรับการคิดที่เป็นไปได้ความฝันของคุณจะขยายจากระดับจอมปลวกไปเป็นภูเขา  และเนื่องจากคุณเชื่อในความเป็นไปได้  ก็เท่ากับคุณพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ทำฝันให้เป็นจริงได้



"นักคิดผู้ยิ่งใหญ่ล้วนเชี่ยวชาญในการสร้างมโนภาพ
เป็นภาพอนาคตที่สดใสขึ้นในใจของเขาและของคนอื่น"


การคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้  ทำให้คุณเหนือชั้นกว่า
ทุกครั้งที่คุณจำกัดป้าย "เป็นไปไม่ได้" ออกไปจากภารกิจ  ก็เท่ากับคุุณยกระดับความสามารถของตัวเองให้เหนือชั้นกว่าคนทั่วไป

การคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้ ช่วยเพิ่มพละกำลัง
ระหว่างการคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้กับพละกำลังมีความสัมพันธ์กันโดยตรง  มีใครบ้างที่รู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังพ่ายแพ้  ถ้าคุณรู้ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นไม่สามารถทำให้สำเร็จลงได้  คุณยังเต็มใจสละเวลาและแรงกายแรงใจทำงานนั้นต่อไปหรือไม่  คนที่กล้าลงทุนเพราะเขามองเห็นความหวังหรือมีความเชื่อว่าจะประสบความสำเร็จ  หากคุณยอมรับการคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้  ก็หมายถึงคุณเชื่อในสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่  และนั่นเป็นการเพิ่มพละกำลังให้แก่ตัวเอง

การคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้ กันคุณให้พ้นจากการยอมแพ้
คนที่คิดว่าทุกอย่างเป็นไปได้นั้น  เชื่อว่าตัวเองจะประสบความสำเร็จ  ใครก็ตามที่เชื่อว่าตัวเองไม่สามารถทำอะไรบางอย่างได้  ต่อให้เขาใช้ความพยายามอย่างหนักเพียงใดก็ตาม  ก็ไม่มีความหมาย  เพราะเขาแพ้ไปเรียบร้อยแล้ว  ถ้าคุณเชื่อว่าคุณสามารถทำอะไรบางอย่างได้  คุณก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว



"เหล่าผู้ชนะในชีวิตคิดอยู่เป็นนิจว่า พวกเขาทำได้  
และจะทำ  ในทางตรงข้าม 
 พวกขี้แพ้จะจดจ่ออยู่กับความคิดที่ว่า  
ที่ผ่านมาพวกเขาควรจะทำอะไร 
 หรืออะไรที่พวกเขาจะไม่ทำ" 



ทำอย่างไรจึงจะสัมผัสกับพลังความเป็นไปได้ของการคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้
ถ้าคุณเป็นคนมองโลกในแง่ดีและยอมรับวิธีคิดที่เชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปได้  คุณก็มาทางเดียวกันกับคนที่ประสบความสำเร็จ  อย่างไรก็ตาม  คนบางคนมีนิสัยมองโลกในแง่ร้ายหรือชอบเยาะเย้ยถากถางคนอื่น  อีกทั้งยังมองคนที่คิดว่าทุุกอย่างเป็นไปได้เป็นพวกซื่อบื้อหรือโง่เขลาเบาปัญญา  คนที่มีทัศนคติแบบ มัน-ทำ-ไม่ได้  มีทางเลือกอยู่สองทาง  ทางเลือกที่หนึ่ง  คือ  คาดหวังในสิ่งที่แย่ที่สุดและได้ผลลัพธ์อย่างนี้ทุกครั้งไป  พลังของการคิดในแง่บวกนั้นมีเยอะมาก  ถ้าความมุ่งมั่นกับการคิดในแง่บวกมารวมกับพรสวรรค์และความชำนาญ  ก็จะให้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น  มันใช้ได้ผลดีกับตัวเขา  ถ้าอยากให้การคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้ทำงานให้คุณ  ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการดำเนินการตามคำแนะนำต่อไปนี้

เลิกสนใจความเป็นไปไม่ได้
ขั้นแรกของการจะเป็นนักคิดที่เชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปได้คือ  เลิกมองหาว่ามีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นกับสถานการณ์ต่างๆ   ถ้าการคิดในแง่ว่าทุกอย่างเป็นไปได้เป็นของใหม่สำหรับคุณ  ก็ต้องฝึกตัวเองในการสลัดการพูดกับตัวเองในแง่ลบที่อาจได้ยินอยู่ในหัวออกไปบ้าง  เมื่อใดก็ตามที่คุณเริ่มคิดเกี่ยวกับความผิดพลาดที่อาจะเกิดขึ้น หรือกำลังหาเหตุผลว่าเรื่องนี้ทำไม่ได้โดยอัตโนมัตินั้น  ให้หยุดตัวเองแล้วพูดว่า "อย่าไปตรงนั้น" ต่อด้วยคำถาม "แล้วสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมเกี่ยวกับเรื่องนี้มีอะไรบ้าง"  วิธีนี้จะช่วยให้คุณเริ่มต้นได้  แต่ถ้าความคิดเชิงลบเป็นปัญหาใหญ่ของคุณ  และคำพูดในแง่ร้ายหลุดออกจากปากก่อนที่คุณจะคิดอยู่เป็นประจำ  คุณคงต้องขอความร่วมมือจากเพื่อนหรือสมาชิกในครอบครัวให้คอยเตือนคุณทุกครั้งที่พูดอะไรในแง่ลบออกมา



"ถ้าไม่อยากฝึกคิดในเชิงบวกก็ไม่เป็นไร  
แค่ขจัดความคิดในแง่ลบออกจากใจให้ได้  
ที่เหลืออยู่ก็ดีแล้ว"



อยู่ห่างจากผู้เชี่ยวชาญ
ผู้เชี่ยวชาญที่เขาเรียกกันอย่างนั้น  เป็นพวกที่ดับความฝันของใครต่อใครมากกว่าใครอื่น  คนที่คิดในแง่บวกจะหลีกเลี่ยงการลงความเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ในทุกเรื่อง  ถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง  ก็ไฟเขียวให้ตัวเองเชื่อว่ามันเป็นไปได้

มองหาความเป็นไปได้ในทุกสถานการณ์
การคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้  มิใช่เป็นแค่การไม่ยอมมองโลกในแง่ลบมันมีอะไรมากกว่านั้น  เป็นการมองหาความเป็นไปได้ในทางบวก  ถึงแม้สภาพแวดล้อมจะเป็นในลักษณะตรงกันข้าม  การมองหาความเป็นไปได้ในทุกสถานการณ์  ไม่จำเป็นต้องใช้ไอคิวระดับอัจฉริยะหรือประสบการณ์ยี่สิบปี  ทั้งหมดที่ต้องใช้คือทัศนคติที่ถูกต้อง  ซึ่งทุกคนสามารถบ่มเพาะได้

ฝันให้ใหญ่กว่าหนึ่งเบอร์
วิธีบ่มเพาะทัศนคติมองโลกในแง่ทุกอย่างเป็นไปได้ที่ดีที่สุดว
วิธีที่หนึ่ง คือ ฝันให้ใหญ่กว่าที่คุณเคยฝันตามปกติ ความจริงที่คุณอาจไม่รู้ก็คือ  คนส่วนใหญ่ฝันเล็กเกินไป  ไม่คิดให้มันใหญ่พอ ถ้าคุณดันตัวเองให้ฝันกว้างไกลและใหญ่ขึ้น  ให้วาดมโนภาพองค์กรของคุณให้มีขนาดใหญ่ขึ้นอีกหนึ่งเบอร์  ให้ตั้งเป้าหมายไกลกว่าระยะที่คุณเดินไปได้สบายๆ สักหนึ่งก้าว  คุณจะถูกบังคับให้โตขึ้น  และมันจะทำให้คุณเชื่อในความเป็นไปได้ที่ยิ่งใหญ่ขึ้น



"วางแผนของคุณให้ใหญ่ตามใจชอบ  เพราะอีก 25 ปีนับจากนี้มันจะดูธรรมดามาก  ปรับแผนของคุณใหม่ให้ใหญ่กว่าที่วางไว้ในตอนแรก 10 เท่า  อีก 25 ปีนับจากนี้คุณจะสงสัยว่า  ทำไมคุณไม่ทำให้มันใหญ่กว่า 50 เท่า"


ข้องใจในสภาพที่เป็นอยู่
คนส่วนใหญ่อยากให้ชีวิตตัวเองดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ให้คุณค่าความสงบและมั่นคงไปพร้อมๆ กันด้วย  ดูเหมือนทกคนจะลืมไปว่าเราไม่สามารถแก้ไขปรับปรุงได้ถ้ายังอยากรักษาสภาพเดิมไว้  การเติบโตหมายถึงการเปลี่ยนแปลง  การเปลี่ยนแปลงย่อมขัดแย้งกับสภาพเดิม  ถ้าคุณต้องการความเป็นไปได้ที่ใหญ่ขึ้น  คุณจะพอใจกับสิ่งที่มีอยู่และเป็นอยู่ในขณะนี้ไม่ได้  เมื่อคุณเป็นคนที่คิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้  คุณจะเผชิญกับคนจำนวนมากที่ต้องการให้คุณเลิกฝันและพอใจกับสภาพที่เป็นอยู่  คนที่ประสบความสำเร็จปฏิเสธที่จะยอมรับสภาพเดิม  เมื่อคุณเริ่มสำรวจความเป็นไปได้ที่เปิดกว้างขึ้นสำหรับตัวคุณเองสำหรับองค์กร  หรือครอบครัวของคุณ (และความท้าทายอื่นๆ ที่คุณปรารถนา) ขอให้ทำใจสบายๆ ที่จะได้รับรู้ว่า ณ นาทีนี้  นักคิดที่เชื่อในความเป็นไปได้ที่อยู่รอบโลก พวกเขากำลังท้าทายกับสภาพที่เป็นอยู่  คุณก็ควรทำด้วย

หาแรงบันดาลใจจจากคนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง
คุณสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับการคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้โดยการศึกษาเรื่องราวของผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่  การคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้ไม่สอดคล้องกับวิถีของคนจำนวนมาก  เพราะฉะนั้น  ถ้าอยากเรียกมันในชื่ออื่นก็เรียกไป "ตั้งใจทำให้สำเร็จ" "เชื่อในตัวเอง" "มั่นใจในความสามารถ" ฯลฯ  เป็นเรื่องจริงที่คนที่เชื่อว่าตัวเองไม่สามารถทำได้  เขาก็จะทำไม่ได้จริงๆ แต่ถ้าคุณเชื่อว่าคุณทำได้  คุณก็จะทำได้จริงๆ เพราะนี่คือ อานุภาพของการคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้



ถามตัวเอง : 
เรากำลังกระตือรือร้นในการใช้วิธีคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้  เพื่อหาวิธีแก้ไขสถานการณ์ที่ดูเหมือนแก้ไขไม่ได้อยู่หรือเปล่า




อ้างอิงจาก :  หนังสือคิดให้ใหญ่  คิดให้สำเร็จ โดย John C. Maxwell