แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ข้อคิด แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ข้อคิด แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2563

นิสัยของคนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกที่คุณสามารถใช้ในชีวิตได้



ความลับของความสำเร็จของคนที่ประสบความสำเร็จ, คิดใหญ่, ความลับของจิตใจเศรษฐี, นิสัยทั่วไปของคนที่ประสบความสำเร็จและสิ่งต่าง ๆ คนที่ประสบความสำเร็จมี



เคยสงสัยบ้างไหมว่า ทำไมคนบางคนถึงประสบความสำเร็จในชีวิตมากๆ และกับอีกคนบางคนทำไมล้มเหลวในชีวิตมากมาย  อะไรที่สิ่งที่คนที่ประสบความสำเร็จทำแตกต่างไปจากคนส่วนใหญ่?

บทความที่คุณจะได้อ่านนี้เป็นข้อสังเกตนิสัยที่คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มีเหมือนกันทุกคน  ซึ่งคุณสามารถนำนิสัยเหล่านี้ไปใช้ในชีวิตประจำวันของคุณได้

1. ความคิดที่แตกต่าง ไม่กลัวความล้มเหลว และต้องการเลือกทางเดินบนเส้นทางของตัวเอง แนวคิดนี้จะเป็นใครไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ สตีฟ จอบส์ (Steve Jobs) 1 ในผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิล ที่ผลิตนวัตกรรมเพิ่มคุณค่าและพัฒนาชีวิตของทุกคนให้ก้าวล้ำไปบนเส้นทางที่เขาเป็นผู้บุกเบิก มองแต่ด้านบวก มองไปสู่อนาคต และไม่กลัวที่จะล้มเหลว

2. ไม่ว่าคุณจะออกจากงานประจำคุณออกมา เพื่อเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองหรือกล้าขอเจ้านายเพื่อเลื่อนตำแหน่ง หน้าที่การงานให้ดีขึ้น  ทุกสิ่งนี้เริ่มต้นจากความกล้าทั้งหมด  คนที่ประสบความสำเร็จมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ มีความกล้าที่จะเริ่มต้นเสมอ ก่อนที่พวกเขาจะพร้อม

3. คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการนอนหลับเสมอ  การนอนหลับเป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับความสำเร็จ

4. คนที่ประสบความสำเร็จไม่ได้รอโอกาสให้เข้ามาหาพวกเขา  แต่พวกเขาจะสร้างโอกาสของพวกเขาขึ้นมาเอง  คอยมองหาโอกาสและพุ่งเข้าไปหามัน

5. เมื่อ อีลอน มัสก์ (Elon Musk) เจ้าของฉายา "ไอรอนแมนในชีวิตจริง" ผู้ก่อตั้ง Tesla, SpaceX, The Boring company, Neuralink ถูกถามว่า กิจวัตรประจำวันอะไรที่ทำให้คุณประสบความสำเร็จ  อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ตอบว่า "อาบน้ำเป็นประจำ" หลายคนคงงงกับคำตอบ  แต่การอาบน้ำคือการดูแลตัวเอง  การดูแลตนเองเป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งคุณรู้สึกดีกับตัวเองมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งสามารถทำสิ่งต่างๆ ให้ดี และทำได้มากขึ้นเท่านั้น

6. หากคุณต้องการประสบความสำเร็จคุณจะต้องให้ความสำคัญกับความรู้ทางด้านการเงินอย่างจริงจัง  คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ให้ความสนใจกับความรู้ด้านการเงินเป็นอย่างมาก  ซึ่งคนบ้านเราให้ความใส่ใจกับความรู้ด้านการเงินกันน้อยมาก  อย่างน้อยๆ ต้องรู้ว่าอะไรคือหนี้สิน สินทรัพย์ ค่าใช้จ่าย หรือการลงทุน


วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ความคิดที่แตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจน



ความคิดที่
แตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจน

แรงบันดาลใจสู่อิสรภาพและร่ำรวยทางการเงิน รวย ร่ำรวย คนรวย เศรษฐี - คิดบวก คนชั้นกลางและคนรวย ความคิดที่แตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจน




1. คนรวยเชื่อว่าพวกเขาสามารถสร้างชีวิตในอนาคตของตัวเองได้  ส่วนคนจนเชื่อว่าชีวิตของพวกเขาเป็นไปตามโชคซะตาที่พระเจ้าให้มา
2. คนรวยเล่นเกมส์เพื่อชนะ  ส่วนคนจนเล่นเกมส์เพื่อแพ้(เกมส์การเงิน)
3. คนรวยมีความฝันที่จะเป็นคนรวย และมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ ลงมือทำเพื่อทำให้ความฝันเป็นจริง  ส่วนคนจนมัวแต่ฝันลมๆ แล้งๆ แต่ไม่เคยคิดจะลงมือทำ
4. คนรวยมักจะคิดแต่การใหญ่  ส่วนคนจนมักจะคิดเล็ก
5. คนรวยโฟกัสไปที่โอกาส  ส่วนคนจนโฟกัสแต่อุปสรรค
6. คนรวยชื่นชมคนที่ประสบความสำเร็จ  ส่วนคนจนไม่พอใจและไม่ชอบคนที่ประสบความสำเร็จ
7. คนรวยเป็นคนที่คิดในแง่บวก ส่วนคนจนเป็นคนที่คิดในแง่ลบ
8. คนรวยจะชื่นชมในคุณค่าในตัวเอง  ส่วนคนจนดีแต่จะดูถูกตัวเอง และไม่เคยคิดจะชื่นชมความสำเร็จเล็กๆของตัวเอง
9. คนรวยคิดว่าปัญหาที่เจอเป็นเรื่องที่เล็กสำหรับพวกเขา ส่วนคนจนคิดว่าปัญหานั้นเป็นปัญหาที่ใหญ่เกินจะแก้ไขสำหรับพวกเขา
10. คนรวยเป็นผู้รับที่ชาญฉลาด ส่วนคนจนเป็นผู้รับที่โง่เขลา
11. คนรวยเลือกที่ใช้จ่ายเงินเพื่อสร้างอนาคตที่ดีให้ตัวเอง ส่วนคนจนใช้จ่ายเงินเพื่อสร้างความสุขให้ตัวเองโดยที่ไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับตัวเองในอนาคต
12. คนรวยเลือกที่จะทำจะทำแต่ละสิ่งให้สำเร็จไปทีละอย่าง  ส่วนคนจนเลือกที่จะทำหลายสิ่งพร้อมกัน แต่ก็ไม่สำเร็จสักอย่าง
13. คนรวยโฟกัสที่รายได้สุทธิและทรัพย์สินที่มีอยู่ ส่วนคนจนโฟกัสที่เงินเดือน
14. คนรวยมีความสามารถในการจัดการด้านการเงินของตัวเองได้ดี ส่วนคนจนคนจนไม่มีความสามารถในการจัดการด้านการเงินของตัวเอง
15. คนรวยใช้เงินทำงานให้เพื่อสร้างรายได้มหาศาลให้แก่พวกเขา ส่วนคนจนทำงานหนักเพื่อให้ได้รายได้มา
16. คนรวยไม่เคยกลัวอุปสรรค ส่วนคนจนกลัวอุปสรรค
17. คนรวยหมั่นศึกษาเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ส่วนคนจนคิดว่าตัวเองรู้ทุกเรื่อง







วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2557

สุดยอดความคิด ให้รวยล้นฟ้า



สุดยอดความคิด  ให้รวยล้นฟ้า




1. คนทั่วไปมักคดว่าเงินคือความชั่วร้าย แต่คนรวยมองความยากจนเป็นสิ่งชั่วร้าย
เหมือนคนที่มีฐานะปานกลางจะถูกปลูกฝังว่าคนที่เกิดมารวยนั้นโชคดี  หรือไม่ก็ฉ้อโกงมา  ส่วนคนรวยนั้นรู้ว่าเงินไม่อาจซื้อความสุขได้  แต่มันทำให้ชีวิตดำเนินไปอย่างง่ายดายมากกว่า

2. คนทั่วไปมักคิดถึงเรื่องอดีต  แต่คนรวยมักคิดถึงเรื่องในอนาคต
คนรวยคิดถึงอนาคตที่รออยู่เผื่อการตัดสินใจต่างๆ จะได้ง่ายขึ้นเพื่อที่จะได้ไปถึงวันที่ดีกว่า  ส่วนคนทั่วไปมักจะคิดว่าวันที่ดีของเขาคืออดีต  ซึ่งทำให้จมอยู่กับอดีตแล้วไม่ได้คิดถึงการวางแผนในอนาคต

3. คนทั่วไปมองเรื่องเงินผ่านอารมณ์  แต่คนรวยมักมองเรื่องเงินผ่านหลักการความเป็นไปได้
คนรวยมักที่จะมีหลักการต่างๆ ที่จะวางแผนที่จะหาเงินจากโอกาสที่อยู่ในอาชีพของตน  ส่วนคนทั่วไปมักจะคาดฝันเงิที่จะทำได้จากการทำงาน  โดยไม่มองหาโอกาสที่จะทำเงินเพิ่มได้

4. คนทั่วไปได้รับเงินจากการทำงานที่ตัวเองไม่ชอบ  แต่คนรวยมักทำเงินในสิ่งที่ตัวเองชอบแล้วได้เงิน
คนทั่วไปนั้นดูเหมือนตัวเองทำงานอยู่ตลอดเวลา  แต่หลักการที่ฉลาดนั้นคือค้นหาสิ่งที่ตัวเองรักและชอบ  และประยุกต์มันให้สามารถทำเงินได้ต่างหาก

5. คนทั่วไปมักจะตั้งเป้าหมายเอาไว้ต่ำเพื่อที่จะได้ไม่เจ็บตัว  แต่คนรวยนั้นมักตั้งเป้าหมายให้สูงเพื่อความท้าทายใหม่ๆ เสมอ
คนทั่วไปมักจะตั้งเป้าหมายเอาเล็กๆ ไว้เพื่อจะได้ไม่เจ็บตัว  ซึ่งต่างจากคนรวยที่มักที่จะกล้าเสี่ยงกับอะไรใหม่ๆ ซึ่งจะทำให้ตัวเองได้ผลประโยชน์ที่ดีกว่า

6. คนทั่วไปมักคิดว่าอยากรวย แต่คนรวยมักคิดว่าต้องเป็นอะไรซักอย่างถึงทำให้ตัวเองรวย
คนที่รวยมักจะนำสิ่งที่ตัวเองชอบและตัวตนของตัวเองมาเป็นจุดขายให้กับตัวเองในการทำงานหรือธุรกิจต่างๆ แต่คนทั่วไปมักจะคิดว่าตัวเองต้องทำอะไรซักอย่าง  โดยไม่สนว่าต้องทำอะไร  ซึ่งบางทีอาจจะทำให้ตัวเองไม่มีความสุขกับสิ่งที่ทำ

7. คนทั่วไปมักมุ่งไปกับการเก็บเงินอย่างเดียว แต่คนรวยมักมุ่งไปที่การได้รับเงินและการลงทุนด้วย
การที่ได้รับเงินนั้นเป็นวิธีที่ทำให้เราได้หลักทรัพย์มากขึ้น  คนรวยมักจะหาวิธีทำให้ตัวเองได้สิ่งนี้มาเพิ่มมากยิ่งขึ้น  โดยนำสิ่งที่ตัวเองสนใจมาสร้างโอกาสในขณะที่เก็บเงินอยู่ด้วย

8. คนทั่วไปมักกดดันตัวเองเรื่องเงินมากเกินไป  แต่คนรวยมักเข้าใจในการหมุนเวียนของเงิน
คนรวยมักจะเข้าใจการหมุนเวียนของเงินอยุ่แล้วจึงไม่มีความกดดันกับเงินที่ต้องเสียไป  แต่คนทั่วไปมักจะให้อำนาจของเงินอยู่เหนือตนเองและเป็นสิ่งที่ครอบครองความคิด

9. คนทั่วไปมักโตมากับการเอาตัวรอด  แต่คนรวยมักโตมากับความคิดที่ว่าฉันต้องประสบความสำเร็จ
คนทั่วไปมักที่จะคิดว่าการที่จะเอาตัวรอดไปวันๆ ก็เป็นเรื่องที่เพียงพอแล้ว  แต่คนรวยมักจะคิดและวางแผนให้กับชีวิตตัวเองเพื่อให้ตนเองประสบความสำเร็จในอาชีพและชีวิตในอนาคต

10. คนปกติคิดว่าการใช้เงินฟุ่มเฟือยเป็นเรื่องไม่ดี  แต่คนรวยมองว่าเงินช่วยให้มีความสุขขึ้นได้
เหล่าเศรษฐีมักจะออกไปหาความสุขใส่ตัวเองให้เต็มที่และก็มีความสุขกับสิ่งที่ทำ  ส่วนคนทั่วไปอาจจะมองว่าเอาเงินไปทำอย่างอื่น  ใช้เงินอยู่กินให้พ้นไปวันๆ ยังดีกว่า


วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

10 ข้อที่ควรทำ หากอยากประสบความสำเร็จในชีวิต



10 ข้อที่ควรทำ
หากอยากประสบความสำเร็จในชีวิต

10 ข้อที่ควรทำ หากอยากประสบความสำเร็จในชีวิต

1. ถามเอง ตอบเอง  อะไร? ทำไม?
สองคำถามที่จะเปลี่ยนชีวิตหนึ่งชีวิตของมนุษย์ทุกคน 
- ชีวิตต้องการอะไร?
- ทำไมต้องได้สิ่งนั้น?
ถ้าคุณตอบตัวเองได้ คุณไม่ต้องไปกังวลเรื่องวิธีการหรือกระบวนการขับเคลื่อนตัวคุณเองไปยังเป้าหมายของคุณ  เพราะมันจะตามมาเอง  แต่ถ้าตอบไม่ได้ก็เลิกหวังได้เลย

2. ยิ่งอ่านมาก ยิ่งได้เปรียบ
การอ่านหนังสือเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่น  ซึ่งบางครั้งเขาต้องไปลองผิดลองถูกมาทั้งชีวิต  แต่เราได้ลดระยะเวลาการเรียนรู้นั้น  ทำให้เราประหยัดเวลาและไม่เปลืองตัว

3. ตั้งเป้าหมายให้ใหญ่ คิดการใหญ่
เป้าหมายใหญ่จะทำให้คนเราขยายขนาดความคิด มีพลัง  มีแรงฮึด และเป้าหมายที่ทำเพื่อคนอื่นจะทำให้คุณรู้สึกท้าทายกับสิ่งที่ทำกว่าเป้าหมายเล็กๆ เสมอ

4. เขียนเป้าหมายใส่กระดาษ
เป้าหมายที่ไม่ได้เขียน หรือจดบันทึก อย่าเรียกมันว่าเป็นเป้าหมาย  มันเป็นแค่คำพูดลอยๆ เหมือนฝันกลางวันที่ไม่มีวันเป็นจริงได้ มันแค่อยากได้ชั่วคราว  ไม่ว่าสิ่งไหนที่คุณต้องการ จงเขียนมันลงไปในทุกเรื่อง  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ  เงิน  ความสัมพันธ์กับผู้อื่น  สิ่งของที่อยากได้  ความสำเร็จในหน้าที่การงานหรือการเรียน ฯลฯ  ยิ่งมีรายละเอียดเยอะยิ่งดี  เป้าหมายยิ่งมีมาก ยิ่งดี  เพราะบางอย่างอาจใช้เวลาในการเกิด  ถ้ามีเป้าหมายหรือความฝันในหลายๆ เรื่อง  ก็จะมี "ความฝันที่เป็นจริง" ได้อยู่เรื่อยๆ ทำให้ชีวิตสนุกสนาน มีรสชาติ และเพิ่มทั้งความเชื่อมั่นในตนเองและความเชื่อมันในพลังของความฝัน

5. จินตนาการถึงความสำเร็จที่ตั้งเป้าหมายไว้
ความสำเร็จจะเกิดขึ้นจริงตราบเมื่อคนๆนั้น  มีจินตนาการ  มีความคิด และมีเป้าหมายที่ชัดเจน  ยิ่งจินตนาการในหัวชัดเจนเท่าไหร่  ความเป็นไปได้ของเป้าหมายก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เป็นเรื่องแปลกของความฝันหรือในบางครั้งถูกเรียกว่า "จินตนาการ" ถ้าเราไม่ล้มเลิกที่จะฝัน  ส่วนใหญ่แล้วฝันจะเป็นความจริงได้ง่ายกว่าที่คิด  ฝันบางอย่างเกิดขึ้นเองโดยเราไม่ต้องออกแรงมากก็มี  แค่เรารู้ว่าต้องการอะไร  และคิดถึงมันบ่อยๆ สิ่งนั้นจะถูก "ดึงดููด" เข้ามาหาเรา  หรือเราถูกดูดเข้าไปหามันอย่างเป็นธรรมชาติ

6. เมื่อคิดแล้วก็ต้องเริ่มลงมือทำ
ถ้ามัวแต่คิด มัวแต่ฝัน แล้วไม่ลงมือทำ  ฝันทั้งปีทั้งชาติคุณก็ไม่ได้สิ่งที่คุณต้องการมาไว้ในมือของคุณ  ดังนั้น เมื่อคุณคิดแล้วคุณก็ต้องลงมือทำ  หาวิธีหรือกระบวนการในการเดินไปสู่เป้าหมายที่คุณตั้งไว้  หมั่นไปหาประสบการณ์  เรียนรู้  มุ่งมั่น  และต้องมีวินัย  คนที่ประสบความสำเร็จจะขาดคุณสมบัติข้อนี้ไม่ได้เลย คือ วินัย  ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ได้เป็นจุดเด่นของคนไทยเลย

7. เรียนรู้จากความล้มเหลว
สิ่งที่เราน่าตระหนักไว้  เมื่อต้องสูญเสียทุกอย่างก็คือ  เรามีมันสมองที่ได้เรียนรู้ประสบการณ์มากมายมาแล้ว  สิ่งที่เราต้องการมีเพิ่มอย่างเดียวคือ "ใจสู้"  การลุกขึ้นมาหลังจากล้มแรงๆ ครั้งหนึ่งแล้ว มันยากยิ่งกว่าการประสบสำเร็จครั้งแรกอีก  เพราะบางครั้งหัวใจเราไม่อยากจะสู้แล้ว  แต่การที่ "กลับมา" ได้ให้ดีกว่าเดิม  เป็นบทพิสูจน์ให้โลกเห็นว่าเราแน่จริง  ดังนั้น ถ้าในครั้งแรกเรายังทำได้ไม่ดีนัก  อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าเราไม่มีพรสวรรค์  จริงๆ แล้ว  เราก็ทำอย่างเขาได้  อาจดีกว่าด้วย  แต่ต้องใช้ความอดทนมากหน่อย  ต้องผ่านช่วงแรกอันทรหดให้ได้ก่อน

8. หมั่นศึกษาหาความรู้
การศึกษาหาความรู้ไม่ได้มีเฉพาะในโรงเรียน มหาวิทยาลัย  การเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อการเรียนรู้นี่แหละที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณอย่างสิ้นเชิง  เพราะเมื่อเราคิดว่าการเรียนรู้เป็นเรื่องสนุก ทำให้เราจดจำได้ง่ายขึ้น  จำอย่างเป็นธรรมชาติ  เพราะมันเป็นเรื่องที่เราสนใจอยู่แล้วนั่นเอง  มันยิ่งทำให้ยิ่งอยากเรียนรู้มากขึ้นไปอีก เพราะสิ่งใดที่ทำแล้วสนุก และทำแล้วเก่ง เราก็อยากทำอีก

9. อย่าเป็นกบในกะลา
การเรียนรู้ไม่เคยสิ้นสุด  สำหรับคนที่ต้องการประสบความสำเร็จ  ยิ่งเรียนรู้มากเท่าไร ก็ยิ่งรู้ว่าตนเองไม่รู้มากเท่านั้น  ความสุขของคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต คือ การได้เรียนรู้  การได้โต  การภูมิในสิ่งที่ตัวเองทำได้  เปิดตาเสาะหาความรู้ใหม่ๆ แล้วหัดเรียนรู้

10. มีความเชื่อมั่นในตนเอง
ความเชื่อมั่นในตนเองมีความสำคัญมากกับการทำอะไรให้สำเร็จ  ความเชื่อมั่นในตนเองสร้างขึ้นมาจากความสำเร็จเล็กๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า  ในเวทีใหญ่ๆ ความเชื่อมั่นในตนเองอาจจะเป็นตัวตัดสินได้ว่าใครเป็นคนชนะหรือคนแพ้  ความเชื่อมั่นในตนเองนั้น  ไม่ควรจะนำมาสับสนกับความหยิ่งผยอง  ความหยิ่งผยองเป็นคุณสมบัติที่ไม่น่าพึงประสงค์  เป็นการโชว์ความก้าวร้าว  คิดว่า "แน่" หรือเก่งกว่าคนอื่น  ความเชื่อมั่นในตนเองมาจากความรู้สึกข้างในลึกๆ ที่ว่า "เรามีความรู้จริงในสิ่งที่ทำ" ซึ่งเราได้มาจากการเรียนรู้  ประสบการณ์ ความล้มเหลวของตัวเอง

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ทำไมเยอรนีถึงเป็นประเทศที่แข็งแกร่งและประสบความสำเร็จ



ทำไมเยอรนีถึงเป็นประเทศที่แข็งแกร่ง
และประสบความสำเร็จ

ทำไมเยอรนีถึงเป็นประเทศที่แข็งแกร่งและประสบความสำเร็จ



ความลับ 19 ข้อ ที่คนเยอรมันปฏิบัติและยึดถือ ทำให้ประเทศเยอรมณีเป็นประเทศที่แข็งแกร่งและประสบความสำเร็จประเทศหนึ่งของโลก ซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวของครอบครัวชาวอังกฤษ ที่ไปใช้ชีวิตในเยอรมนี เพื่อค้นหาความลับว่า อะไรที่ทำให้ประเทศนี้ประสบความสำเร็จขนาดนี้ โดยได้แบ่งออกมาเป็น 19 ข้อด้วยกันว่า อะไรที่ทำให้ประเทศเยอรมัน เป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จ มีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งที่สุดประเทศหนึ่งในโลก
1. ระดับหนี้สินต่อครัวเรือนของคนเยอรมันอยู่ในระดับต่ำมากที่สุดในยุโรป ชาวเยอรมันทั่วไปนิยมใช้จ่ายด้วยเงินสดมากกว่าบัตรเครดิต
2. ธนาคารไม่อนุมัติบัตรเครดิตให้กันง่าย ๆ ในขณะที่ชาวเยอรมันก็ไม่ต้องการได้บัตรเครดิตง่าย ๆ เช่นกัน
3. ชาวเยอรมันสามารถออมเงินได้ 10% ของเงินเดือนแทบทุกคน
4. ผู้คนส่วนใหญ่มีเงินฝากในธนาคารเป็นกอบเป็นกำทำให้ระบบการหมุนเวียนของเงินกู้กับเงินฝากสมดุลกันได้ดี
5. คนเยอรมันไม่นิยมเอาบ้านหรือรถยนต์ไปจำนองเพื่อนำเงินมาทำธุรกิจ เพราะถือว่าเป็นความเสี่ยงที่อาจจะสูญเสียทรัพย์สินที่มีอยู่
6. คนเยอรมันใช้เวลาทำงานต่อสัปดาห์น้อยกว่าคนในชาติอื่น ๆ ทั่วโลก แต่ได้ประสิทธิภาพมากกว่า
7. การทำงานล่วงเวลาถูกมองว่าเป็นสิ่งไม่เหมาะสม เนื่องจากการให้เวลากับครอบครัวหลังเลิกงานถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก
8. เวลาแปดชั่วโมงต่อวัน คนเยอรมันทำงานอย่างจริงจังในเวลางาน ไม่เสียเวลาไปกับการพูดคุยเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับงาน อีเมลล์ส่วนตัว Facebook และโทรศัพท์มือถือ …เป็นที่รู้กันว่าไม่ควรใช้ในชั่วโมงทำงาน
9. นักข่าวชาวอังกฤษที่ไปทำงานในโรงงาน Faber & Castel ที่เยอรมนี ถูกต่อว่าจากเพื่อนร่วมงานทันทีที่หยิบโทรศัพท์เพื่อต้องการส่ง SMS แค่ครั้งเดียว
10. ชีวิตในที่ทำงานที่นี่เขาจริงจังกันมาก ไม่มีการพูดคุย นินทา ไม่อยากรู้อยากเห็นว่าใครเป็นแฟนใคร ใครเลิกกับใคร ใครจะไปออกเดทกับใคร ไม่แม้แต่จะเล่าเรื่องละครทีวีที่ดูเมื่อคืน เลิกงานแล้วจะไปไหน จะไปทานดินเนอร์กับใคร ก็ไม่มีการพูดคุยกัน
11. การมาทำงานสายจะถูกมองว่าเป็นคนไม่รักษาสัญญา จะมาสายสามนาทีหรือสามสิบนาที ก็ถือว่าเป็นคนไม่มีคุณภาพเพราะขาดความเคารพต่อตัวเองและองค์กร
12. สองในสามของคุณแม่มือใหม่จะไม่ทำงานนอกบ้าน การบอกว่าเป็น Housewife ในประเทศอื่น ๆ อาจจะรู้สึกเขินอายเหมือนว่าตนเองไม่มีงานทำ แต่ที่นี่มีแต่ความภาคภูมิใจหากจะได้เป็น Housewife
13. รัฐบาลให้สวัสดิการดีกับคุณแม่ที่ต้องออกจากงาน ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการให้แม่ได้เลี้ยงดูลูกด้วยตนเอง การให้เวลากับลูกถือเป็นสิ่งสำคัญ
14. ในวันอาทิตย์ ร้านรวงทั่วไปตามแหล่ง Shopping จะปิดเงียบ เพื่อให้ผู้คนส่วนใหญ่มีเวลาอยู่กับครอบครัว เมื่อสถาบันครอบครัวแข็งแรงประเทศชาติก็จะแข็งแรง
15. ในยามยากของเศรษฐกิจ บริษัทส่วนใหญ่ไม่ใช้วิธีการ Lay off พนักงาน ไม่นิยมการปลดคนงานออกแบบกระทันหัน เพื่อความอยู่รอดของบริษัท
16. อาจจะเรียกว่าเป็นวัฒนธรรมองค์กรไปเสียแล้วที่บริษัทจะเป็นห่วงความอยู่รอดของพนักงานก่อน เพื่อที่จะได้ช่วยกันประคองให้บริษัทอยู่รอด
17. พนักงานยินดีที่จะถูกลดรายได้อย่างพร้อมเพียงกันเพื่อให้ทุกคนอยู่ได้และบริษัทอยู่รอด สิ่งนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงการรักพวกพ้อง รักองค์กร และรักชาติในที่สุด
18. ทีมชาติฟุตบอลของเยอรมนี จะไม่ค่อยมีดาวเด่นที่โด่งดังระดับโลก แต่ก็สามารถคว้าแชมป์โลกได้ถึง 3 สมัย ด้วยทักษะการเล่นอย่างเป็นทีมเวิร์คเน้นวินัยและแบบแผนการเล่น มากกว่าความสำเร็จจากความสามารถเฉพาะบุคคล
19. การใช้ชีวิตแบบพอเพียง ประหยัด จริงจังในหน้าที่ มีระเบียบวินัย ตรงต่อเวลา มีความรับผิดชอบสูง รักครอบครัว รักพวกพ้อง รักชาติ เหล่านี้ล้วนเป็นอุปนิสัยขั้นพื้นฐานที่คนส่วนใหญ่ในเยอรมนีได้ปฏิบัติสืบต่อกันมา



อ้างอิงจาก :
สารคดีจาก BBC : Make me a German
เครดิต : แฟนเพจ Trick of the Trade




วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2557

ก้าวแรกสู่เงินล้าน



ก้าวแรกสู่เงินล้าน

แรงบันดาลใจสู่อิสรภาพและร่ำรวยทางการเงิน รวย ร่ำรวย คนรวย เศรษฐี - ก้าวแรกสู่เงินล้าน


อุ่นเครื่องก่อนออกวิ่ง
สำหรับคุณที่มีปัญหาการเงินคั่งค้าง  คุณที่ใช้จ่ายไม่ชนเดือน  มีหนี้สินบัตรเครดิต  เป็นหนี้นอกระบบก้อนโต  คุณควรเริ่มต้นจากหนังสือที่จะช่วยแก้ปัญหาดั้งเดิมของคุณก่อน  ผู้ที่มีหนี้สินท่วมหัว  ขอแนะนำหนังสือ "คู่มือเกี่ยวกับการปลดหนี้"  และผู้ที่มีปัญหาใช้จ่ายเกินรายได้  โปรดอ่าน "คู่มือเกี่ยวกับการเก็บเงิน"  หนังสือทั้งสองประเภทนี้จะช่วยให้คุณ "จัดการ" ปัญหาเรื่องเงินที่คั่งค้างให้หมดไปก่อนเริ่มเป้าหมายเงินล้าน  ส่วนผู้ที่ไม่มีปัญหาใช้จ่ายไม่ชนเดือนและไม่มีหนี้สินคั่งค้าง ก็ "ลุย" เต็มที่

สิ่งที่คุณต้องมี
นิสัยที่คุณต้องสร้างก่อนวางเป้าหมายเงินล้าน คือ

1. ทัศนคติแห่งความเป็นไปได้
จงบอกตัวเองอย่างเชื่อมั่นว่า  "ฉันมีสิทธิ์มีเงินล้าน"  เลิกมองเงินล้านเป็นเรื่องเพ้อฝัน  คุณล้มเหลวแน่ถ้าคุณคิดว่ามันเกินเอื้อม  ทาสของเงินชอบคิดแบบนั้น  คุณไม่ได้เป็นทาสของเงิน  คุณเป็นนายของมัน

2. ความรักและศรัทธาในตัวเอง
จงรักและศรัทธาในตัวเองเสมอ  วาดภาพตัวเองในฐานะที่มั่งคั่ง  มีความมั่นคงในชีวิต  อยู่ในบ้านที่คุณอยากอยู่  ล้อมรอบด้วยคนที่คุณอยากอยู่ด้วย  แล้วทุ่มเทพลังทำมันให้เป็นจริง

3. ความกล้าหาญที่จะลงมือ
จงคิดถึงเป้าหมายของคุณเองเป็นอันดับหนึ่ง  แล้วกล้าพอที่จะจ่ายให้ตัวเองก่อนเสมอ  เช่น ถ้าคุณตั้งเป้าจะออมเดือนละ 10% ของเงินเดือน  เมื่อเงินเดือนออก  ให้ตัดเงินก้อนนี้เข้าบัญชีเงินเก็บของคุณทันที  จากนั้นจึงค่อยบริหารเงินส่วนที่เหลือใช้เงินให้น้อยกว่าที่หาได้จนเป็นนิสัย  ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องใช้

4. ความรักที่จะลงทุน
อย่ากลัวที่จะเรียนรู้เรื่องการลงทุน  เช่น  เมื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำเตี้ย  แบ่งเงินเก็บราว 10% ไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนเกิน 10% เสมอ  มีคนมากมายที่หาเงินล้านได้โดยแค่รู้จัก "ลงทุนอย่างฉลาด" ด้วยปรัชญา "ไม่ต้องมาก ไม่ต้องเสี่ยง" คุณควรศึกษาหาความรู้ในเรื่องการลงทุนที่เหมาะกับคุณ  แล้วแบ่งเงินบางส่วนมาลงทุน  จะช่วยเร่งระยะเวลาไปสู่เป้าหมายเงินล้านให้เร็วขึ้นมากๆ



5 ศัตรูุที่คุณต้องกำจัด
ขณะที่คุณเริ่มเพาะนิสัยเงินล้านอยู่นี้  คุณต้องระวัง "ศัตรูตัวร้าย" ที่ซุ่มซ่อนอยู่รอจังหวะเข้าขัดขวางยื้อแย่งความสำเร็จจากคุณด้วย  ศัตรูผู้ประสงค์ร้ายที่คอยอิจฉาริษยา  กีดกันทุกวิถีทางไม่ให้คุณรวย ศัตรูที่ว่านี้ คือ "นิสัยไม่ดี" บางอย่างที่อยู่ในตัวคุณเอง! อย่าสะดุ้งตกใจ "นิสัยไม่ดี" เหล่านี้มีอยู่ในพวกเราทุกคน  เพียงแต่จะมีมากหรือมีน้อย  และที่สำคัญคือ เราจะรู้หรือไม่ว่าเราจะรู้ตัวเองหรือป่าวว่าเรามีนิสัยไม่ดีในด้านใดบ้าง  ระหว่างที่คุณกำลังวางแผนเก็บเงิน  ศัตรูตัวฉกาจเหล่านี้อาจโดดเข้ามาฉีกทึ้งแผนของคุุณเมื่อไหร่ก็ได้  ดังนั้นระวังมันไว้ให้จงหนัก

1. นิสัยไม่เอาจริง
คุณอยากรวย  แต่พอจะเริ่มวางแผนรวยเข้าจริงๆ กลับ "ไม่เอาจริง" เสียอย่างนั้น  น่าเศร้าที่คุณขยันทำงานจนสายตัวแทบขาด  แต่สุดท้ายแล้วกลับขี้ขลาดเกินกว่าที่จะ "ขยัน" ทำตัวเองให้รวย  มีบ้างไหมรอบตัวคุณ  ใครบางคนที่ "บุคลิกที่ยอดเยี่ยม  ความสามารถก็ยอด  แต่หน้าที่การงานกลับงั้นๆ ไปไม่ถึงไหนสักที" น่าสงสารใช่ไหม  อยากให้ชะตากรรมแบบนี้เกิดขึ้นกับคุณแบบนี้ใช่ไหม?  ดังนั้น  สิ่งที่ยากที่สุดคือการไม่ยอมให้ความฝันของคุณเป็นแค่ "ไฟไหม้ฟาง"  คุณจะมีเงินล้านไม่ได้  ถ้าไม่ยอมกำจัดนิสัย "ไม่เอาจริง" ให้สิ้นซาก

2. นิสัยผลัดวันประกันพรุ่ง
ความมั่นคงในชีวิตนั้นแม้เป็นโครงการระยะยาวของแท้  แต่มันง่ายแค่เริ่มต้น  เวลาในชีวิตที่คุณเสียไปกับอย่างอื่นที่คิดว่าสำคัญนั้น  แท้จริงแล้วไม่มีอะไรสำคัญยิ่งกว่าความมั่นคงในชีวิตของคุณเลย  คนทั่วไปจะต้องพูดว่า "เราจะลงมือกันพรุ่งนี้" แต่ (ว่าที่) เศรษฐีเงินล้านอย่างคุณต้องพูดว่า "แล้วทำไมต้องเป็นวันพรุ่งนี้ล่ะ" นิสัยผลัดวันประกันพรุ่งนี้เป็นนิสัยแห่งความล้มเหลวที่น่ากลัวที่สุด  คนแต่ละคนจะมี "ข้ออ้าง" ที่สมเหตุสมผลต่างกันไป  ขณะที่หนุ่มสาววัยสามสิบอาจเชื่อว่าเชื่อว่าพวกเขายังอายุน้อยเกินกว่าที่จะคิดเรื่องการเก็บเงินเพื่อวัยเกษียณ  คุณลุงคุณป้าก็แก้ต่างว่ามีภาระต้องเลี้ยงดูบุตรหลานมาตลอดชีวิตพวกท่านจึงไม่มีเงินเหลือเลยในวัยชรา  คุณรู้แล้วว่า การผลัดวันประกันพรุ่งมาชั่วชีวิต  ลองเดาต่อสิว่า  การผลัดวันประกันพรุ่งของหนุ่มสาววัยสามสิบจะส่งผลอย่างไรต่อชีวิตของพวกเขาในวัยไร้งาน

3. นิสัยรักตัวเองในทางที่ผิด
สังคมบริโภคนิยมปลูกฝังให้เราหลงใหลคลั่งไคล้ความสุขชั่ววูบเราจมอยู่ในทรายดูดแห่งโฆษณารสนิยมของเรา  ไลฟ์สไตล์ของเรา  สถานที่ที่เราไป  ตราสินค้าที่เราใช้  โรงพยาบาลที่เราใช้บริการ  รถที่เราขับ  จนถึงโรงเรียนที่ลูกเราเรียน  ล้วนมีความสำคัญเหนือกว่าความมั่นคงในชีวิตของเราทั้งสิ้น  เราจึงต้องอาศัย "สติ" อย่างมากที่จะเตือนตัวเองว่า  การใช้จ่ายเพื่อตัวเองทั้งหมดที่เราคิดว่า "จำเป็นมาก" นั้นที่แท้คือการถูก "สะกดจิต" หรือไม่  การที่คุณต้องมีมันเพื่อบอกว่าเราคือใครนั้นเป็นการรักตัวเองที่ถูกต้องหรือเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น

4. นิสัยเกลียดการเรียนรู้
นักเก็บเงินที่ล้มเหลวมักทิ้ง "การเรียน" ทันทีที่จบการศึกษา ทั้งๆ ที่ชีวิตกับการเรียนรู้เป็นของคู่กันอย่างแยกไม่ออก  นิสัยปฏิเสธการเรียนรู้ของพวกเราไม่เพียงเป็นกำแพงที่ขวางเราไว้จากความร่ำรวย แต่ยังอาจพาพวกเราสู่หายนะแห่งความเข้าใจผิด  คุณจะรวยเร็วขึ้นมาก  ถ้าลดละเลิกนิสัยกลัวการเรียนรู้  นับจากนี้ไม่ว่าจะลงมือทำอะไร  ต้องเริ่มต้นทำความเข้าใจให้ถึงแก่นแท้

5. นิสัยใจอ่อน
คนที่มีเงินเก็บเพียงพอไว้ใช้จ่ายในยามเกษียณ  มักเป็นคนละคนกับคนที่ได้เงินก้อนโตมาอย่างง่ายๆ  ยิ่งง่ายยิ่งอันตราย  บรรดาดารานักแสดงที่รวยเร็ว  นักมวยที่ได้เงินล้านเป็นรางวัล  และคนที่บุญหล่นทับถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง  มักมีบั้นปลายชีวิตที่ลำบากยากแค้นอย่างไม่น่าเชื่อ  เงินที่ได้มาง่าย  มักสูญหายไปง่าย  ถ้าอยู่ในเงื้อมมือของคนที่ขาดวินัยทางการเงิน  หากคุณอยากมีบั้นปลายชีวิตที่สุขสบายพอควร วินัยในทางการเงินเป็นสิ่งสำคัญมาก  จงปฏิบัติตามสิ่งที่คุณกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด


"บนเส้นทางสู่เงินล้าน  จงขับรถสู่จุดหมายของคุณอย่างระมัดระวัง  
ถ้าศัตรูตัวใดก็ตามพยายามขวางทางคุณ  ชนมันให้กระเด็ด"



วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2557

ข้อคิดสู่เงินล้าน



ข้อคิดสู่เงินล้าน

แรงบันดาลใจสู่อิสรภาพและร่ำรวยทางการเงิน รวย ร่ำรวย คนรวย เศรษฐี ข้อคิดคนรวย : ข้อคิดสู่เงินล้าน


95% ต้องไม่ใช่คุณ
ข่าวร้ายที่คุณอาจต้องทำใจรับฟัง  มีผู้คนในโลกนี้ที่ไม่เคยบรรลุเป้าหมายทางการเงินจนชั่วชีวิตมากถึง 95%  ในยามเกษียณสิ่งเดียวที่พวกเขาเหล่านี้ฝากชีวิตที่เหลือไว้คือบำนาญหรือระบบสวัสดิการสังคม  ดังนั้น  เพื่อป้องกันไม่ให้คุณตกอยู่ในกลุ่ม 95% ที่ไปไม่ถึงฝั่งฝัน  คุณต้องระมัดระวังไม่ให้คุณเองถูกสกัดกั้นกลางทางด้วยอุปสรรคที่ทำให้ทุกคนสะดุดล้มมาแล้ว  เพื่อเอาชนะความล้มเหลวที่มีโอกาสเกิดขึ้นสูงมาก  คุณจึงควรยึดมั่นในหลักการสำคัญๆ ที่จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายเงินล้านอย่างยั่งยืน

คุณมีสิทธิเลือกเสมอ
ทุกบาทสตางค์ที่คุณได้มา คุณมีสิทธิที่จะเลือก "เก็บมันไว้" หรือ "ใช้มันออกไป" หรือ "ใช้มันทำงานให้คุณ"  เงินเป็นของคุณ  คุณเป็นผู้ทรงสิทธิอย่างเต็มเปี่ยมที่จะจัดการกับมัน  เป็นการง่ายเหลือแสนที่คุณจะใช้มันออกไปโดยไม่ได้อะไรคืนเลย  คุณไม่ต้องคิดมากก็ได้ถ้าคุณอยากใช้ชีวิตวันต่อวัน  แต่ขอให้คุณอ่านประโยคนี้อีกครั้ง



"ทุกบาทสตางค์ที่คุณได้มา คุณมีสิทธิที่จะเลือก "เก็บมันไว้" 
หรือ "ใช้มันออกไป" หรือ "ใช้มันทำงานให้คุณ"  เงินเป็นของคุณ"


หนี้สิน(หนี้เสีย) คือ ตัวถ่วง
หนี้เสีย คือ หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์
จดจำคำพูดน่าคิด "ถ้าคุณกินหรือสวมมันไม่ได้ อย่าจ่ายด้วยบัตรเครดิต" ไว้ให้ดี แต่ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น "ไม่ว่าอะไร ไม่จ่ายด้วยบัตรเครดิตเลย" จะแจ๋วกว่า  และหากคุุณกำลังจะรูดบัตรเครดิตซื้อของที่คุณไม่มีเงินจ่ายแล้วล่ะก็  ให้ถือว่าคุณกำลังลงมือกระทำอาชญากรรมต่อตัวคุณเองเลยทีเดียว  หากคุณมีบัตรเครดิตกองเป็นตั้ง  รีบกำจัดบัตรเครดิตส่วนเกินของคุณให้หมด  จนเหลือแต่บัตรหลักไม่เกินสองใบ จำไว้ให้ฝังใจว่า "หนี้สินคือก้อนหินที่คอยถ่วงคุณให้จมน้ำ" หนี้สินการบริโภคทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง  ทำลายกระแสเงินสด  ทำลายโอกาสลงทุน  ทำลายความรื่นรมย์ที่แท้จริงของชีวิต  ถ้าจะมีหนี้สิน  จงเลือกมีเฉพาะหนี้สินทีเกิดประโยชน์จริงๆ  หนี้สินที่คุณคำนวณแล้วว่าสร้างความมั่งคั่งคุ้มค่าในอนาคตเท่านั้น  คุณรู้จักอิทธิฤทธิ์ของดอกเบี้ยทบต้นดีกว่าใคร  จงใช้มันให้เป็นประโยชน์กับตัวเอง อย่าใช้มันทำลายตัวคุณ 

ให้เงินต่อเงิน
มอบหมายหน้าที่ให้เงินทำงานโดยเร็ว  ไม่ได้แปลว่ามีเงินเท่าไหร่ต้องทุ่มเทลงทุนทั้งหมด  แต่คุณต้องมีเงินก่อน  เงินจึงจะต่อเงินให้คุณได้  ถ้าไม่มีเงินเลย  จงเร่งเริ่มจากการออมหรือลงทุนอย่างเดือนละ 10% ของรายได้  ทำทันทีโดยไม่ต้องรอให้มีเงินมากกว่านี้  แม้คนที่มีเงินเดือนน้อยนิดก็ออมเงินสำเร็จมาแล้วมากต่อมาก  สิ่งสำคัญคือหมั่นออมเพิ่มหรือลงทุนเพิ่มให้สม่ำเสมอทุกๆ เดือน  จะเก็บไว้ในธนาคารหรือซื้อกองทุนรวมเพิ่มทุกเดือน  ก็สุดแท้แต่ความชอบส่วนตัวของคุณ  จ่ายตัวเองก่อนจ่ายคนอื่น  ทันทีที่มีรายได้  โอนเก็บเข้าบัญชีเลย  สร้างเครื่องมือที่จะทำคุณเก็บออมหรือลงทุนได้อย่างง่าย  สม่ำเสมอและเป็นอัตโนมัติ  ทันทีที่เงินเติบโตให้ผลตอบแทน  อย่าเพิ่งเก็บเกี่ยวเก็บผลตอบแทนนั้น  นำเงินนั้นลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ดอกผลจากดอกผลงอกเงยขึ้นอีก

เขียนแผนให้เป็นลายลักษณ์อักษร
การสัญญาหรือสาบานกับตัวเองว่า "ฉันจะรวย" คงยังไม่พอ  แผนที่อยู่ในใจใครจะอ่านออก คุณจะเริ่มต้นได้อย่างไรถ้าไม่รู้ที่มาที่ไปของตัวเลข  ผู้คนมากมายเก็บเงินไม่ได้เพราะไม่เคยสนใจที่จะเขียนแผนเป็นลายลักษณ์อักษร  จำเป็นมากๆ ที่คุณต้องเขียนมันออกมาบนกระดาษหรือบันทึกมันในแฟ้มข้อมูล  คุณไม่จำเป็นต้องเป็นนักบัญชีชั้นเลิศ  แต่หัดใช้ชอฟแวร์ง่ายๆ ให้เป็นประโยชน์  หรือจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายง่ายๆ ด้วยโปรแกรม Excel ในการนำเสนอผลงานต่อลูกค้า  คุณอยู่แถวหน้าของนักนำเสนอที่ใครๆ ก็ยกย่อง แล้ว "โปรเจคท์สำคัญที่สุดในชีวิต" คุณจะดำเนินการด้วยปากเปล่าอย่างนั้นหรือทั้งหมดนี้คือแผนที่ชีวิตของคุณ ทุกอักษรคือคำมั่นสัญญา ทุกตัวเลขที่ได้มาคือผลงานของคุณ



"นี่คือโครงการสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต  คุณจะสอบตัวเองผ่านไม่ผ่านอยู่ที่งานชิ้นนี้  
ดังนั้นจงสร้าง Action Plan อย่างจริงจัง  ด้วยการทำมันให้เป็นลายลักษณ์อักษร" 



ความรู้คือประทีป
การลงทุนที่ดีที่สุดคือการลงทุนสร้างความรู้  ความรู้ไม่เพียงสร้างแรงบันดาลใจ  แต่ยังอาจเปลี่ยนโลกทั้งใบของคุณ  คนไทยไม่ชอบอ่านหนังสือ  เราอ่านเฉพาะเมื่อถูกครูบังคับ  เมื่อจบจากโรงเรียน มหาวิทยาลัย เราจึงดีใจมากๆ ที่เราไม่ต้องอ่านหนังสืออีกต่อไป  ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่มี "ข้อมูลใหม่" หลังจากทำงานไปสักสิบปี  หลายคนเริ่มรู้สึกว่าชีวิตเริ่มซ้ำซาก  ไม่มีความหมาย  ไม่มีแรงบันดาลใจจ  และผลลัพธ์สุดท้ายคือการประคองชีวิตไปวันต่อวัน  การอ่าน คิด เขียน ฟัง  คือการสะสมทรัพย์ฝากธนาคารสมอง  ดอกเบี้ยปัญญาจะเพิ่มพูนอย่างรวดเร็ว  ความรู้ทำให้คุณมีความเชื่อมั่น  ปัญญาทำให้คุณรู้ทันชีวิต ความรู้ใหม่ๆ ไม่เพียงทำให้เกิดความคิดใหม่ๆ ไม่เพียงทำให้เกิดความคิดใหม่ๆ  แต่ยังทำให้คุณเห็นช่องทางไต่เต้าในหน้าที่การงาน  เพิ่มช่องทางสร้างรายได้  มองเห็นโอกาสในธุรกิจใหม่ๆ ก่อนใครๆ เสมอ


"ออมความรู้ให้สม่ำเสมอเหมือนออมเงินในบัญชี  
ให้โอกาสสมองได้อัพเกรด เหมือนอัพเดทสมุุดบัญชีทุกเดือน" 


เข้าใจความเสี่ยง
ยอมรับอย่างผู้เข้าใจโลกการเงินว่า ทันทีที่คุณทุบกระปุกหรือเอาเงินออกจากกระเป๋า  คุณกำลังเข้ามาสู่โลกของความเสี่ยง  เพื่อลดความเสี่ยงที่คุณเผชิญอยู่  คุณมีหน้าที่ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยงกับผลตอบแทนด้วยตัวคุณเอง  คุณต้องประมวลความรู้ความเข้าใจก่อนตัดสินใจด้วยตัวเอง คุณมีสิทธิจะกระจายความเสี่ยงด้วยการจัดสำรับการลงทุนให้หลากหลาย  แต่คุณไม่มีสิทธิที่จะโทษใครหากการเลือกสรรของคุณไม่ส่งผลดังใจคิด

เรียนรู้เรื่องภาษี
มีผู้คนจำนวนมากที่เสียภาษีมากมายโดยไม่ยอมเรียนรู้สิทธิประโยชน์ด้านภาษี  ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองสามารถประหยัดภาษีได้หลายวิธี  ถ้าคุณงุนงงไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีการลงทุนใดที่ให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีบ้าง  ขอให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่รับจัดการด้านภาษี  เสียเงินค่าปรึกษาเล็กน้อย  คุณจะพบวิธีการที่จะประหยัดภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมายมากมาย  พยายามควบคุมการจ่ายภาษีของคุณให้อยู่ในราว 10%  ตัวอย่างวิธีประหยัดภาษีที่น่าสนใจคือ  การลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่บริษัทของคุุณมีอยู่  หรือถ้าคุณประกอบอาชีพอิสระ  แบ่งเงินลงทุนบางส่วนไม่ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) คุณจะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างคุ้มค่า

อย่าให้ความโลภบังตา
มีผู้คนมากมายที่สะดุดก้อนหินหน้าคว่ำคำมำหงายเพราะพยายามจะวิ่งปาดหน้าคนอื่น  คุณมีสิทธิที่อยากรวยเร็ว  แต่ต้องไม่ใช่ด้วยทางลัด  ไม่ใช่ด้วยการเหยียบไหล่คนอื่น  ไม่ใช่ด้วยการขี้โกง  ความล้มเหลวที่คุณไปสู่เป้าหมายไม่สำเร็จ  ยังไม่เจ็บปวดเท่าปัญหาใหญ่ที่เกิดจากการที่คุณ  อยากรวยด้วยวิธีการที่ไร้คุณธรรม

คุณเป็นนายของเงิน  อย่าตกเป็นทาสของมัน
คุณต้องการเงินล้านและความมั่นคงของชีวิต  แต่คุณรู้นะว่ามันไม่ได้รับประกันความสุขเสมอไป  เพราะสุดท้ายแล้ว  ความสุขที่แท้จริงในชีวิตของคุณขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินหรือสิ่งที่เงินซื้อมาเพียงเท่านั้น


"มันคงดีไม่น้อย  ถ้าเรารายล้อมด้วยเงินมากมาย  และสิ่งที่ใช้เงินซื้อหามาได้  แต่เราต้องแน่ใจนะว่า  ตลอดเวลาที่เราขวนขวายหารเงินและสิ่งที่ใช้เงินซื้อหามาได้  เราไม่ได้สูญเสียสิ่งที่ใช้เงินซื้อหามาไม่ได้ไปด้วย"

วันพุธที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2557

การคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้



การคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้

การคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้


"ไม่มีอะไรน่าอาย เท่ากับการมองดูคนอื่น
กำลังทำในสิ่งที่คุณเคยพูดว่าทำไม่ได้"
แซม อีวิง


คนที่คิดว่าอะไรๆ ก็อาจเป็นไปได้นั้น สามารถทำภารกิจที่ดูคล้ายเป็นไปไม่ได้ให้สำเร็จลงได้  เพราะเขาเชื่อว่าปัญหามีไว้ให้แก้ไข  เพราะฉะนั้นมันย่อมต้องมีทางแก้ไขได้  เหตุผลที่เราควรเปิดใจรับการคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้  มีหลายประการดังต่อไปนี้

การคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้ ช่วยเพิ่มความเป็นไปได้
หากคุณเชื่อว่าคุณสามารถทำอะไรบางอย่างที่ยากแสนยากได้  และคุณก็ทำได้จริงๆ  ผลที่ตามมาก็คือ  จะมีประตูมากกมายเปิดอ้าต้อนรับคุณ  ถ้าคุณเปิดใจยอมรับการคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้  ก็เท่ากับคุณเปิดตัวเองรับความเป็นไปได้อีกมากมาย

การคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้  ดึงโอกาสและผู้คนมาหา
การเป็นคนที่คิดว่าทุกอย่างเป็นไปได้นั้นสามารถสร้างโอกาสใหม่และดึงดูดผู้คนได้อย่างไร  คนที่คิดการณ์ใหญ่จะดึงดูดคนระดับ "บิ๊ก" เข้าไปหาเขา  ถ้าคุณอยากทำงานใหญ่ให้สำเร็จคุณจำเป็นต้องฝึกตัวเองให้เป็นนักคิดที่เชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปได้

การคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้  เพิ่มความเป็นไปได้ของคนอื่น
นักคิดระดับบิ๊กนอกจากจะเนรมิตอะไรต่อมิอะไรได้แล้ว  ยังสร้างโอกาสที่เป็นไปได้ให้แก่คนอื่นด้วย  ที่เป็นเช่นนั้นเพราะส่วนหนึ่งเกิดจากการถ่ายทอดความเชื่อมั่นจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง  คุณจะกลายเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้นและคิดการณ์ใหญ่ขึ้น  ถ้าขลุกอยู่กับนักคิดที่เชื่อทุกอย่างเป็นไปได้



การคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้

เปิดทางให้คุณฝันถึงความฝันอันยิ่งใหญ่
ไม่ว่าคุณจะทำอาชีพอะไร  การคิดว่าทุกอย่างเป็นไปได้จะช่วยคุณขยายเส้นขอบฟ้าและฝันถึงฝันอันใหญ่กว่าเดิมได้  ถ้าคุณยอมรับการคิดที่เป็นไปได้ความฝันของคุณจะขยายจากระดับจอมปลวกไปเป็นภูเขา  และเนื่องจากคุณเชื่อในความเป็นไปได้  ก็เท่ากับคุณพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ทำฝันให้เป็นจริงได้



"นักคิดผู้ยิ่งใหญ่ล้วนเชี่ยวชาญในการสร้างมโนภาพ
เป็นภาพอนาคตที่สดใสขึ้นในใจของเขาและของคนอื่น"


การคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้  ทำให้คุณเหนือชั้นกว่า
ทุกครั้งที่คุณจำกัดป้าย "เป็นไปไม่ได้" ออกไปจากภารกิจ  ก็เท่ากับคุุณยกระดับความสามารถของตัวเองให้เหนือชั้นกว่าคนทั่วไป

การคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้ ช่วยเพิ่มพละกำลัง
ระหว่างการคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้กับพละกำลังมีความสัมพันธ์กันโดยตรง  มีใครบ้างที่รู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังพ่ายแพ้  ถ้าคุณรู้ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นไม่สามารถทำให้สำเร็จลงได้  คุณยังเต็มใจสละเวลาและแรงกายแรงใจทำงานนั้นต่อไปหรือไม่  คนที่กล้าลงทุนเพราะเขามองเห็นความหวังหรือมีความเชื่อว่าจะประสบความสำเร็จ  หากคุณยอมรับการคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้  ก็หมายถึงคุณเชื่อในสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่  และนั่นเป็นการเพิ่มพละกำลังให้แก่ตัวเอง

การคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้ กันคุณให้พ้นจากการยอมแพ้
คนที่คิดว่าทุกอย่างเป็นไปได้นั้น  เชื่อว่าตัวเองจะประสบความสำเร็จ  ใครก็ตามที่เชื่อว่าตัวเองไม่สามารถทำอะไรบางอย่างได้  ต่อให้เขาใช้ความพยายามอย่างหนักเพียงใดก็ตาม  ก็ไม่มีความหมาย  เพราะเขาแพ้ไปเรียบร้อยแล้ว  ถ้าคุณเชื่อว่าคุณสามารถทำอะไรบางอย่างได้  คุณก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว



"เหล่าผู้ชนะในชีวิตคิดอยู่เป็นนิจว่า พวกเขาทำได้  
และจะทำ  ในทางตรงข้าม 
 พวกขี้แพ้จะจดจ่ออยู่กับความคิดที่ว่า  
ที่ผ่านมาพวกเขาควรจะทำอะไร 
 หรืออะไรที่พวกเขาจะไม่ทำ" 



ทำอย่างไรจึงจะสัมผัสกับพลังความเป็นไปได้ของการคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้
ถ้าคุณเป็นคนมองโลกในแง่ดีและยอมรับวิธีคิดที่เชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปได้  คุณก็มาทางเดียวกันกับคนที่ประสบความสำเร็จ  อย่างไรก็ตาม  คนบางคนมีนิสัยมองโลกในแง่ร้ายหรือชอบเยาะเย้ยถากถางคนอื่น  อีกทั้งยังมองคนที่คิดว่าทุุกอย่างเป็นไปได้เป็นพวกซื่อบื้อหรือโง่เขลาเบาปัญญา  คนที่มีทัศนคติแบบ มัน-ทำ-ไม่ได้  มีทางเลือกอยู่สองทาง  ทางเลือกที่หนึ่ง  คือ  คาดหวังในสิ่งที่แย่ที่สุดและได้ผลลัพธ์อย่างนี้ทุกครั้งไป  พลังของการคิดในแง่บวกนั้นมีเยอะมาก  ถ้าความมุ่งมั่นกับการคิดในแง่บวกมารวมกับพรสวรรค์และความชำนาญ  ก็จะให้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น  มันใช้ได้ผลดีกับตัวเขา  ถ้าอยากให้การคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้ทำงานให้คุณ  ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการดำเนินการตามคำแนะนำต่อไปนี้

เลิกสนใจความเป็นไปไม่ได้
ขั้นแรกของการจะเป็นนักคิดที่เชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปได้คือ  เลิกมองหาว่ามีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นกับสถานการณ์ต่างๆ   ถ้าการคิดในแง่ว่าทุกอย่างเป็นไปได้เป็นของใหม่สำหรับคุณ  ก็ต้องฝึกตัวเองในการสลัดการพูดกับตัวเองในแง่ลบที่อาจได้ยินอยู่ในหัวออกไปบ้าง  เมื่อใดก็ตามที่คุณเริ่มคิดเกี่ยวกับความผิดพลาดที่อาจะเกิดขึ้น หรือกำลังหาเหตุผลว่าเรื่องนี้ทำไม่ได้โดยอัตโนมัตินั้น  ให้หยุดตัวเองแล้วพูดว่า "อย่าไปตรงนั้น" ต่อด้วยคำถาม "แล้วสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมเกี่ยวกับเรื่องนี้มีอะไรบ้าง"  วิธีนี้จะช่วยให้คุณเริ่มต้นได้  แต่ถ้าความคิดเชิงลบเป็นปัญหาใหญ่ของคุณ  และคำพูดในแง่ร้ายหลุดออกจากปากก่อนที่คุณจะคิดอยู่เป็นประจำ  คุณคงต้องขอความร่วมมือจากเพื่อนหรือสมาชิกในครอบครัวให้คอยเตือนคุณทุกครั้งที่พูดอะไรในแง่ลบออกมา



"ถ้าไม่อยากฝึกคิดในเชิงบวกก็ไม่เป็นไร  
แค่ขจัดความคิดในแง่ลบออกจากใจให้ได้  
ที่เหลืออยู่ก็ดีแล้ว"



อยู่ห่างจากผู้เชี่ยวชาญ
ผู้เชี่ยวชาญที่เขาเรียกกันอย่างนั้น  เป็นพวกที่ดับความฝันของใครต่อใครมากกว่าใครอื่น  คนที่คิดในแง่บวกจะหลีกเลี่ยงการลงความเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ในทุกเรื่อง  ถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง  ก็ไฟเขียวให้ตัวเองเชื่อว่ามันเป็นไปได้

มองหาความเป็นไปได้ในทุกสถานการณ์
การคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้  มิใช่เป็นแค่การไม่ยอมมองโลกในแง่ลบมันมีอะไรมากกว่านั้น  เป็นการมองหาความเป็นไปได้ในทางบวก  ถึงแม้สภาพแวดล้อมจะเป็นในลักษณะตรงกันข้าม  การมองหาความเป็นไปได้ในทุกสถานการณ์  ไม่จำเป็นต้องใช้ไอคิวระดับอัจฉริยะหรือประสบการณ์ยี่สิบปี  ทั้งหมดที่ต้องใช้คือทัศนคติที่ถูกต้อง  ซึ่งทุกคนสามารถบ่มเพาะได้

ฝันให้ใหญ่กว่าหนึ่งเบอร์
วิธีบ่มเพาะทัศนคติมองโลกในแง่ทุกอย่างเป็นไปได้ที่ดีที่สุดว
วิธีที่หนึ่ง คือ ฝันให้ใหญ่กว่าที่คุณเคยฝันตามปกติ ความจริงที่คุณอาจไม่รู้ก็คือ  คนส่วนใหญ่ฝันเล็กเกินไป  ไม่คิดให้มันใหญ่พอ ถ้าคุณดันตัวเองให้ฝันกว้างไกลและใหญ่ขึ้น  ให้วาดมโนภาพองค์กรของคุณให้มีขนาดใหญ่ขึ้นอีกหนึ่งเบอร์  ให้ตั้งเป้าหมายไกลกว่าระยะที่คุณเดินไปได้สบายๆ สักหนึ่งก้าว  คุณจะถูกบังคับให้โตขึ้น  และมันจะทำให้คุณเชื่อในความเป็นไปได้ที่ยิ่งใหญ่ขึ้น



"วางแผนของคุณให้ใหญ่ตามใจชอบ  เพราะอีก 25 ปีนับจากนี้มันจะดูธรรมดามาก  ปรับแผนของคุณใหม่ให้ใหญ่กว่าที่วางไว้ในตอนแรก 10 เท่า  อีก 25 ปีนับจากนี้คุณจะสงสัยว่า  ทำไมคุณไม่ทำให้มันใหญ่กว่า 50 เท่า"


ข้องใจในสภาพที่เป็นอยู่
คนส่วนใหญ่อยากให้ชีวิตตัวเองดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ให้คุณค่าความสงบและมั่นคงไปพร้อมๆ กันด้วย  ดูเหมือนทกคนจะลืมไปว่าเราไม่สามารถแก้ไขปรับปรุงได้ถ้ายังอยากรักษาสภาพเดิมไว้  การเติบโตหมายถึงการเปลี่ยนแปลง  การเปลี่ยนแปลงย่อมขัดแย้งกับสภาพเดิม  ถ้าคุณต้องการความเป็นไปได้ที่ใหญ่ขึ้น  คุณจะพอใจกับสิ่งที่มีอยู่และเป็นอยู่ในขณะนี้ไม่ได้  เมื่อคุณเป็นคนที่คิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้  คุณจะเผชิญกับคนจำนวนมากที่ต้องการให้คุณเลิกฝันและพอใจกับสภาพที่เป็นอยู่  คนที่ประสบความสำเร็จปฏิเสธที่จะยอมรับสภาพเดิม  เมื่อคุณเริ่มสำรวจความเป็นไปได้ที่เปิดกว้างขึ้นสำหรับตัวคุณเองสำหรับองค์กร  หรือครอบครัวของคุณ (และความท้าทายอื่นๆ ที่คุณปรารถนา) ขอให้ทำใจสบายๆ ที่จะได้รับรู้ว่า ณ นาทีนี้  นักคิดที่เชื่อในความเป็นไปได้ที่อยู่รอบโลก พวกเขากำลังท้าทายกับสภาพที่เป็นอยู่  คุณก็ควรทำด้วย

หาแรงบันดาลใจจจากคนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง
คุณสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับการคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้โดยการศึกษาเรื่องราวของผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่  การคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้ไม่สอดคล้องกับวิถีของคนจำนวนมาก  เพราะฉะนั้น  ถ้าอยากเรียกมันในชื่ออื่นก็เรียกไป "ตั้งใจทำให้สำเร็จ" "เชื่อในตัวเอง" "มั่นใจในความสามารถ" ฯลฯ  เป็นเรื่องจริงที่คนที่เชื่อว่าตัวเองไม่สามารถทำได้  เขาก็จะทำไม่ได้จริงๆ แต่ถ้าคุณเชื่อว่าคุณทำได้  คุณก็จะทำได้จริงๆ เพราะนี่คือ อานุภาพของการคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้



ถามตัวเอง : 
เรากำลังกระตือรือร้นในการใช้วิธีคิดในเชิงทุกอย่างเป็นไปได้  เพื่อหาวิธีแก้ไขสถานการณ์ที่ดูเหมือนแก้ไขไม่ได้อยู่หรือเปล่า




อ้างอิงจาก :  หนังสือคิดให้ใหญ่  คิดให้สำเร็จ โดย John C. Maxwell



วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557

การคิดแบบคนทั่วไป



การคิดแบบคนทั่วไป

แรงบันดาลใจสู่อิสรภาพและร่ำรวยทางการเงิน รวย ร่ำรวย คนรวย เศรษฐี - คิดบวก คนชั้นกลางและคนรวย คิดแตกต่าง



"การหาไอเดียใหม่ๆ 
ไม่ยากเท่ากับการหนีออกจากความคิดเก่าๆ"
จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ นักเศรษฐศาสตร์



ความคิดเก่าๆ หมายถึง ความคิดที่คนทั่วไปยอมรับ เป็นความคิดที่สืบทอดต่อๆ กันมาหรืออยู่ในกรอบ  บางทีก็เรียกกันว่าความคิดแบบชาวบ้าน 

การจะทำอะไรที่สวนทางกับความคิดของคนทั่วไปไม่ใช่เรื่องง่าย  ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจที่ต่อต้านประเพณีของบริษัท  บาทหลวงที่นำดนตรีแนวใหม่มาใช้ในโบสถ์  หรือวัยรุ่นที่ไม่สนใจเทรนด์หรือกระแสที่กำลังนิยมกันอยู่ในปัจจุบัน

วิธีคิดแบบคนทั่วไป 
- ง่ายเกินเกินกว่าจะเข้าใจคุณค่าของความคิดดีๆ
- ไม่ยืดหยุ่นพอที่จะเข้าใจถึงผลกระทบของการคิดเพื่อการเปลี่ยนแปลง
- เฉื่อยชาเกินกว่าจะเข้าใจกระบวนการคิดที่มีเป้าหมาย
- แคบเกินกว่าที่จะเข้าใจความลึกซึ้งของการคิดแบบภาพรวม
- พอใจง่ายเกินกว่าจะเข้าถึงศักยภาพของการคิดแบบจดจ่อ
- ยึดมั่นในจารีตมากเกินกว่าจะค้นพบความสนุกของการคิดเชิงสร้างสรรค์
- อ่อนเดียงสาเกินกว่าจะเห็นคุณค่าและความสำคัญของการคิดตามความเป็นจริง
- ไม่มีวินัยพอที่จะเข้าถึงพลังการคิดเชิงกลยุทธ์
- อยู่ในกรอบมากเกินกว่าจะรู้สึกถึงพลังของการคิดแบบทุกอย่างเป็นไปได้
- ไหลตามกระแสมากเกินกว่าจะยอมรับคุณค่าของการคิดทบทวน
- ตื้นเขินเกินกว่าจะกังขาการยอมรับความพื้นๆ
- มีมิจฉาทิฐิมากเกินไป  จนไม่สนับสนุนการมีส่วนในการคิดแบบร่วมด้วยช่วยกัน
- หมกมุ่นอยู่กับตัวเองมากเกินไปที่จะรับประสบการณ์ความพึงพอใจจากการคิดแบบไม่เห็นแก่ตัว และ
- ไม่ยอมผูกมัดตัวเองที่จะชื่นชมกับผลตอบแทนจากการคิดเกี่ยวกับบรรทัดสุดท้าย



ถ้าอยากเป็นคนพิเศษ  
ก็จงเริ่มทำตัวให้คุ้นกับการที่จะไม่เป็นที่ยอมรับของชาวบ้าน




การคิดแบบคนทั่วไปบางครั้งก็เหมือนไมได้คิดอะไรเลย
การคิดหาไอเดียดีๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย  ถ้าง่ายทกคนก็คงเป็นนักคิดที่ดีกันไปแล้ว  โชคไม่ดีที่คนส่วนใหญ่พยายามจะใช้ชีวิตแบบง่ายๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก  การทำในสิ่งที่คนอื่นทำอยู่แล้วสบายกว่ากันเยอะ  ไม่ต้องลำบากที่จะต้องมานั่งคิดเองให้ปวดหัว คนที่ทำมาก่อนก็คงต้องคิดมาแล้วเป็นอย่างดี  ตลาดหลักทรัยพ์เป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่เราจะเห็นคนประเภทคิดแบบคนทั่วไปเยอะแยะมาก  เวลาที่นักวิเคราะห์บางคนให้คำแนะนำแบบฟันธง  ก็มักจะมีคนซื้อขายหุ้นตามคำแนะนำกันเป็นแถว  โดยไม่เคยคิดที่จะยอมลำบากวิเคราะห์ด้วยตัวเอง  คนที่ตั้งใจจะหาเงินจากหุ้นตัวที่เขาแนะนำนั้นก็ทำสำเร็จแล้ว  ทันทีที่คนเล่นหุ้นประเภทแมงเม่าได้ข่าว  เพราะแมงเม่าชอบตามกระแสเนื่องจากขี้เกียจที่จะคิดคำนวณด้วยตัวเอง


การคิดแบบคนทั่วไปจูงไปในทางที่ผิด
คนส่วนใหญ่จะยึดหลักปลอดภัยไว้ก่อน  คนอื่นว่าอย่างไรก็ว่าตามเขาไป  ถ้าคนส่วนใหญ่กำลังทำอะไรบางอย่าง  ก็แปลว่าการทำแบบนั้นต้องเหมาะสมแล้ว  ต้องเป็นความคิดที่ดี  ถ้าคนส่วนใหญ่ยอมรับการกระทำแบบนี้ก็แสดงว่าการกระทำแบบนี้น่าจะถูกต้อง  ยุติธรรม  จริงไหม  ไม่แน่เสมอไป  


การคิดแบบคนทั่วไปเฉื่อยชาต่อการเปลี่ยนแปลง
คนที่คิดแบบคนทั่วไปมักจะพอใจกับสภาพเดิมๆ เชื่อมันและไว้ใจในสภาพที่เป็นอยู่ในขณะนั้น  และจะยึดมั่นไปตลอดถ้ายังสบายอยู่  ผลที่ตามมาคือมีทัศนคติต่อต้านการเปลี่ยนแปลงและปฏิเสธสิ่งใหม่ๆ หรือวิธีใหม่ๆ


การคิดแบบคนทั่วไปให้ผลลัพธ์แบบธรรมดา
ผลลัพธ์ขั้นสุดท้าย  การคิดแบบคนทั่วไปจะให้ผลลัพธ์ระดับปานกลาง
คนทั่วไป = คนสามัญ = ธรรมดา = พื้นๆ = ไม่เด่น = ไม่น่าสนใจ
เวลาที่เราคิดแบบคนธรรมดาทั่วไปก็เหมือนกับเราตั้งเพดานความสำเร็จไว้ต่ำ  เราไปจำกัดขีดขั้นความสำเร็จคล้ายกับออกแรงเพียงเล็กน้อยพอให้ผ่านพ้นไปได้  เพราะฉะนั้น  ถ้าอยากทำการสิ่งใดให้สัมฤทธิผลระดับไม่ธรรมดา  คุณต้องเลิกคิดแบบคนทั่วไป


วิธีตั้งคำถามเกี่ยวกับความคิดแบบคนทั่วไป
มีการพิสูจน์กันอยู่บ่อยๆ ว่า  การคิดแบบคนทั่วไปนั้นผิดและเป็นการตีกรอบจำกัด  การตั้งแง่ที่จะกังขาไม่ใช่เรื่องยาก  ถ้าฝึกทำบ่อยๆ แต่จะยากอยู่ตรงตอนเริ่มต้นนี่แหละ  แต่เรามีวิธีไขให้โดยการทำตามคำแนะจำต่อไปนี้


คิดก่อนจะแห่ตามชาวบ้าน
คนจำนวนมากที่ทำตามคนอื่นโดยไม่รู้ตัว  บางครั้งทำไปเพราะอยากจะใช้เส้นทางที่มีการต่อต้านน้อยที่สุด  บางครั้งอาจเป็นเพราะกลัวถูกปฏิเสธ  หรือเชื่อว่าเป็นการฉลาดที่จะทำในสิ่งที่คนอื่นเขาทำกัน  แต่ถ้าอยากประสบความสำเร็จ  คุณจำเป็นต้องคิดหาสิ่งที่ดีที่สุด มิใช่คิดหาการยอมรับมากที่สุด  การจะท้าทายวิธีคิดแบบคนทั่วไป  ต้องยินดีกับการไม่เป็นที่ยอมรับแล้วเดินออกนอกกรอบและเกณฑ์ปกติ

เมื่อคุณเริ่มคิดจะสวนกระแสความคิดแบบชาวบ้าน  ขอให้เตือนตัวเองว่า
- การคิดต่างจากคนทั่วไปจะถูกประเมินค่าต่ำกว่าความเป็นจริง  จะไม่ได้รับการยอมรับ  และจะถูกเข้าใจผิด  แม้ว่าผลลัพธ์จากความคิดนั้นจะประสบความสำเร็จก็ตาม
- การคิดต่างจากคนทั่วไปมีเมล็ดพันธุ์ของโอกาสและวิสัยทัศน์
- การคิดต่างจากชาวบ้านเป็นที่ต้องการสำหรับความก้าวหน้าทั้งปวง
ครั้งต่อไปที่คุณรู้สึกพร้อมที่จะทำตามความคิดแบบชาวบ้านในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ขอให้หยุดและคิดก่อนที่จะลงมือทำ  ไม่ต้องถึงขั้นต่อต้านหรือทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง  แต่ต้องไม่ลอยไปตามกระแสแบบหน้ามืดตามัวเพียงเพราะคุณยังไม่ได้คิดว่าอะไรจะดีที่สุด


เห็นคุณค่าของความคิดที่แตกต่างจากความคิดของคุณเอง
วิธียอมรับการเปลี่ยนแปลงและสิ่งใหม่ๆ คือฝึกชื่นชมความคิดของคนอื่น  การจะทำเช่นนี้ได้คุณจะต้องเปิดใจตัวเองเข้าหาคนอื่นที่คิดแตกต่างอย่างต่อเนื่อง  ในเมื่อคุณตั้งใจจะท้าทายการคิดแบบชาวบ้าน  ก็ควรใช้เวลาอยู่กับผู้คนที่มีความแตกต่างหลากหลาย  ไม่ว่าจะเป็นภูมิหลัง  ระดับการศึกษา  ประสบการณ์ทางอาชีพการงาน  ความสนใจส่วนตัว ฯลฯ  คุณจะคิดคล้ายกับคนที่คุณใช้เวลาอยู่ด้วยมากที่สด  ถ้าคุณใช้เวลาอยู่กับคนที่คิดนอกกรอบ  คุณก็มีแนวโน้มที่จะท้าทายการคิดแบบชาวบ้านและบุกเบิกหาหนทางใหม่ๆ


ตั้งข้อสงสัยความคิดของตัวเองอย่างต่อเนื่อง
ทุกครั้งที่เราพบวิธีคิดที่ได้ผล  เราก็มักจะกลับไปใช้วิธีนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีกแม้ว่ามันจะใช้ไม่ได้ผลแล้วก็ตาม  บางครั้งศัตรูของความสำเร็จในวันข้างหน้าที่ร้ายกาจที่สุดคือความสำเร็จของวันนี้  ถ้าคุณเคยมีส่วนเกี่ยวข้องในการคิดริเริ่มหรือลงมือจัดทำ  ก่อตั้งหรือกำหนดสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันภายในองค์กรของคุณ  ก็มีโอกาสเป็นไปได้ที่คุณจะต่อต้านการเปลี่ยนแปลง  แม้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อสิ่งที่ดีขึ้นก็ตาม  นี่คือเหตุผลที่ทำไมจะต้องท้าทายความคิดของตัวเอง  ถ้าคุณยึดติดกับความคิดของตัวเองมากเกินไป  ก็คงไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น


ลองทำสิ่งใหม่ๆ ด้วยวิธีการใหม่ๆ
ครั้งสุดท้ายที่คุณทำอะไรเป็นครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นเมื่อไร  คุณหลีกเลี่ยงการเสี่ยงหรือว่าทดลองทำอะไรใหม่ๆ วิธีที่ดีที่สุดในการหลีกหนีการติดบ่วงความคิดของตัวเองคือการทำสิ่งใหม่ๆ อาจจะทำทีละเล็กละน้อยแต่ทำบ่อยๆ ก็ได้  การทำสิ่งใหม่ๆ ด้วยวิธีการใดไม่สำคัญเท่ากับการได้ลงมือทำจริงๆ (ถ้าคุณทำสิ่งใหม่ๆ แบบเดียวกับที่คนอื่นทุกคนทำอยู่  คุณจะบอกว่าตัวเองสวนกระแสความคิดชาวบ้านได้หรือ) ก้าวออกไปทำอะไรที่แตกต่างจากเดิมบ้าง


ทำตัวให้คุ้นกับความไม่สะดวก
การคิดแบบคนทั่วไปทำได้ง่าย  ทำแล้วสบายใจ  ถ้าคุณอยากปฏิเสธความคิดแบบคนทั่วไปเพื่อต้อนรับความสำเร็จ  คุณจะต้องทำตัวให้คุ้นเคยกับความไม่สะดวกสบายเสียก่อน  ถ้าคุณยอมรับการคิดที่แตกต่างจากความคิดแบบคนทั่วไป  และตัดสินใจโดยยึดหลักสิ่งที่ให้ผลดีที่สุด  หรือยึดหลักความถูกต้องเหมาะสมมากกว่าการเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป  คุณต้องรับรู้ในเรื่องนี้ก่อน ในช่วงแรกๆ  คุณจะไม่ผิดเหมือนที่คนอื่นคิดว่าคุณเป็น  ในช่วงหลังๆ คุณจะไม่ถูกเหมือนที่คนอื่นคิดว่าคุณเป็น  และตลอดเวลาตั้งแต่ช่วงแรกไปจนถึงช่วงหลังๆ คุณจะเก่งกว่าที่คุณคิดว่าคุณจะทำได้






อ้างอิงบทความจาก : หนังสือคิดใหใหญ่  คิดให้สำเร็จ โดย John C. Maxwell